วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 25 : SET วันนี้ที่ 1245

SET วันนี้ถูกหรือยัง ?

ตลาดหุ้นวันนี้ปิดที่ 1245 จุด โดยมี P/E อยู่ที่ 21.83 และ P/BV อยู่ที่ 1.68

หลังจากช่วงกลางเดือน ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา ที่มีการขายกระจาย RSI < 30 

หลายคนอาจวิตกกับพอร์ตการลงทุนที่มีมูลค่าน้อยลงไป อาจเกิดความกังวลในเรื่องต่างๆ

ผมเองก็เช่นกัน แน่นอนว่าจิตใจคนย่อมมีในเรื่องของความโลภและความกลัว

เรื่องการซื้อหุ้น แล้วขอให้ หุ้นขึ้น ย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวัง

แต่ถ้าในทางกลับกัน ซื้อหุ้นแล้ว หุ้นลง ก็คงไม่เป็นสิ่งที่นักลงทุนพึงพอใจนัก

อย่างที่เห็นได้ชัดคือตอนนี้ SET ยังแกว่งตัวออกข้างเป็น Sideway ค่อนไปในเชิงปรับลงเล็กน้อย

ยังมีปัจจัยอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ 

  • GDP ของจีนที่กำลังจะประกาศ 
  • น้ำมันปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง
หลายๆปัจจัยเหล่านี้ย่อมทำให้คนในตลาดกลัว และ เทขายออกไป 

เมื่อหุ้นมีความ ต้องการขาย มากกว่า ต้องการซื้อ ย่อมส่งผลต่อราคาที่ลดลง


หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วเมื่อไหร่หุ้นจะขึ้นล่ะ ?

นักลงทุนต่างพูดเสมอว่า การคาดเดาตลาดเป็นงานของพระเจ้า 

แปลว่า เราไม่มีทางรู้หรอกว่าวันไหนหุ้นจะขึ้น จะมีปัจจัยอะไรบ้างที่หุ้นจะขึ้น

สิ่งที่พอจะช่วยได้สำหรับนักลงทุนสายเทคนิคอลคงเป็นสัญญาณต่างๆตามแต่ละ Indicator

แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาว (VI) นั้นเชื่ออยู่แล้วว่าเราไม่สามารถที่จะคาดการณ์ตลาดได้

แล้วควรทำอย่างไรสำหรับสถานการณ์เช่นนี้ ???

ผมเองก็ยังถือว่าอ่อนหัดทั้งประสบการณ์และฝีมือการลงทุน

แต่จากช่วงระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา 

ผมพบข้อผิดพลาดหลายอย่างมากๆที่ทำให้ ผลตอบแทนนั้นไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

สาเหตุหลักๆดังนี้
  1. ซื้อหุ้นพื้นฐานดี ในราคาไม่เหมาะสม พูดง่ายๆก็คือซื้อแพงไป ถ้าเราชอบกิจการนั้นๆ แต่เราไม่ได้ดูว่าราคานั้นเหมาะสมหรือไม่ โอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนที่ดีนั้นยากมาก อย่างแย่สุดๆเลยก็คือการขาดทุนในช่วงตลาดขาลง จริงอยู่ที่ว่า เราจะไม่มีวันขาดทุน ถ้าเรายังไม่ขายหุ้นนั้น  จริงอยู่ที่ว่า ซักวันหุ้นก็กลับมาเอง  ตรงนี้ผมคิดเสมอว่า VI ไม่ขายไม่ขาดทุน จริงๆแล้วมันจริงบางส่วน เพราะถ้าเราลองดูว่าช่วงระยะเวลาที่เราติดหุ้นจนกว่าจะกลับมาเป็นบวกได้มันต้องใช้เวลา บางครั้งอาจเป็นปี ซึ่งทำให้เราเสียโอกาสในการลงทุนในหุ้นตัวที่ดีกว่า
  2. ซื้อหุ้นโดยวิเคราะห์กิจการน้อยไป ประเด็นหลักๆเรื่องนี้ก็คือ เรามั่นใจว่ากิจการนี้ดีมากๆ ดูเหมือนจะเป็น Monopoly ขายอยู่เจ้าเดียว  นั่นถูกสำหรับแนวทางการซื้อหุ้น เพราะทำให้เราได้เปรียบในการแข่งขั้นค่อนข้างมาก แต่อย่าลืมว่ากิจการเหล่านั้น มันอาจจะอิ่มตัวแล้ว ซึ่งไม่สามารถทำกำไรและเติบโตได้ดีดังเช่นอดีตที่ผ่านมา
  3. ปัจจัยบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป เช่นโครงสร้างของกิจการหรือผลกระทบที่เกิดขึ้นกับกิจการนั้นๆ ซึ่งกว่าจะรู้นั้นก็เรียกได้ว่าสายไปเสียแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือจำเป็นต้องตัดสินใจขายไปเพื่อซื้อตัวอื่นที่ดีกว่า เพราะการติดหุ้นนานๆนั้นทำให้เราเสียโอกาสในอนาคตนั่นเอง (เราอาจมองว่าไม่เสียเงินถ้าไม่ขาย แต่มันจะเสียโอกาสในการลงทุนหุ้นที่ดีกว่า)

คำถามถัดมาก็คือ SET วันนี้เราควรทำอย่างไร

ผมถามตัวเองเสมอว่าวันนี้เราควรทำอย่างไรกับการลงทุนของตัวเองดี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับจริตหรือวิธีการลงทุนของเรา คำตอบนั้นง่ายมากคือทำยังไงก็ได้ให้กำไร และไม่เสียเงิน พูดได้ง่ายมาก แต่เรื่องการทำนั้นยาก ประสบการณ์ของผมเองแบ่งเป็น 2 อย่าง นั่นคือใช้เทคนิคอลเก็งกำไร และ การลงทุนระยะยาว (VI)

ผมคิดว่า ไม่ว่าเราจะใช้แนวทางไหน ก็ต้องมีวินัยสำหรับแนวทางนั้น


สำหรับเทคนิคอล เราสามารถใช้ Indicator ดูได้ว่าเราควรจะเข้าซื้อหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็น RSI MACD EMA อันนี้แล้วแต่ถนัด สิ่งสำคัญที่สุดคือ ถ้าผิดทางต้องรีบ Cut loss จะคัตตอนไหนก็แล้วแต่เราเลย อาจตั้งไว้ที่ 5% 10% ก็ได้ ส่วนถ้าไปถูกทางก็แบ่งขายเพื่อเอากำไร   

ตลาด Sideway ช่วงนี้ผมก็ลองวิชาอยู่บ้าง ก็มีกำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง แต่ถ้าเราทำตาม Cut loss แล้วจะไม่ส่งผลเสียหายต่อพอร์ตการลงทุนซักเท่าไหร่ถือว่าเป็นการฝึกวิชากันไป

สำหรับการลงทุนระยะยาว (VI) คงไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า ซือแล้วจะลงต่อมั้ย  VI คิดเพียงว่า หุ้นนั้นถูกกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ถ้ามี Upside 30% ขึ้นไปก็ควรเข้าซื้อ แต่ต้องมั่นใจว่าสิ่งที่เราประเมินนั้นมันไม่เป็นการเข้าข้างตัวเองเกินไป ก็สามารถแบ่งซื้อหุ้นได้ ซึ่งผมเองก็คิดว่ามีหุ้นหลายตัวในตลาดที่ราคานั้นลดลงมาค่อนข้างเยอะ แน่นอนว่าเราอาจซื้อหุ้น หุ้นอาจลงต่อ ก็อย่าไปเสียใจ ให้คิดว่าเราได้หุ้นที่ดี ในราคาที่ถูกแล้ว ถ้ามันลงต่อ แล้วมีเงินก็ซื้อต่อ แต่ถ้าลงต่อแล้วไม่มีเงิน ก็อยู่เฉยๆไม่ต้องทำอะไร

แนวทาง VI นั้นค่อนข้างที่จะสมเหตุสมผล เพียงแค่ต้องใช้ระยะเวลาอดทนรอ บางหุ้นนั้นอาจยังไม่สะท้อนมูลค่า แต่ถ้าเวลาผ่านไป ตลาดจะปรับหุ้นนั้นๆให้ไปสู่มูลค่าที่เหมาะสมเอง

ถามว่าวันนี้ผมกลัวมั้ย ต้องตอบได้ว่ากลัว แต่ถ้าเรามั่นใจที่จะเลือกหุ้นดี ในภาวะตลาดแบบนี้ ย่อมได้หุ้นที่ราคาถูกกว่าคนที่กลัวแต่ยังไม่กล้าและไปเข้าตลาดในยามที่ตลาดนั้นกลับกลายเป็นขาขึ้นซึ่งก็อาจทำให้ไม่กล้าซื้อและราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้นไปไกลแล้ว

ผมเองยังห่างไกลความสำเร็จ แต่สิ่งที่ผมได้มาช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผมได้ประสบการณ์การซื้อที่ทำให้ขาดทุน และผมเองก็เชื่อว่า ผมได้อะไรจากมันมามากกว่ามูลค่าพอร์ตการลงทุนที่เสียไป 

การก้าวเดินออกไป ตอนแรกเราอาจจะไม่รู้ทาง แน่นอนว่าประสบการณ์จะบอกว่าเราผิด เหมือนดังบทความของคุณบอย วิสูตร ที่กล่าวไว้ว่า เราจะเริ่มจาก ผิดตัวโตๆ ผิด ผิด ผิด และ เริ่มจะถูก หากวันใดที่มันเริ่มจะถูกแล้ว มันก็จะมีแนวโน้ม ถูก และ ถูกมากขึ้นเรื่อยๆ ผมขอให้กำลังใจนักลงทุนทุกท่าน รวมถึงตัวผมเอง  

วันนี้เรารู้ว่าความผิดพลาดคืออะไร และจะไม่นำมันไปใช้อีกในอนาคต

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 24 : กรณีศึกษาหุ้น JAS ภาค 2 !?



เกิดอะไรขึ้นกับ JAS !?

จากบทความ ตอนที่ 18 : กรณีศึกษาหุ้น JAS !? นั้นผมเองก็ได้ประเมินข้อมูลในช่วงเวลานั้น ซึ่งไม่สามารถเทียบได้เลยกับข้อมูล ณ ช่วงเวลานี้ 

จริงๆหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่ผมซื้อไว้ตั้งแต่ราวๆปี 2556 และซื้อเพิ่มอีกครั้งหลังจากเขียนบทความก่อน ก็คือช่วงปลายปี 2558 ได้ราคาที่ประมาณ 7 บาทและ 5 บาทกว่าๆ ตามลำดับ ทำให้ราคาเฉลี่ยตอนนี้อยู่ที่ราวๆ 5 บาทกว่าๆ ซึ่งถ้าเทียบกับราคาตลาดตอนนี้อยู่ที่ 3 บาทนิดๆเท่านั้น ถือได้ว่าพอร์ตการลงทุนของผมเองก็ติดลบหุ้นตัวนี้ค่อนข้างหนักประมาณ -40% เลยทีเดียว ถือว่าเป็นการติดลบที่ค่อนข้างเยอะพอสมควร สาเหตุอันเนื่องมาจากการประมูล 4G ที่ค่อนข้างแพงไปไกลเกินกว่าที่นักลงทุนนั้นประเมิน คือราวๆ 7 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งนักลงทุนก็มองว่าเป็นเม็ดเงินที่ค่อนข้างสูงในการที่บริษัทนั้นได้ลงทุนไป อีกทั้ง JAS เองก็เป็นผู้เล่นหน้าใหม่ที่ได้เข้ามาแข่งขันในการให้บริการ อินเตอร์เน็ตบนมือถือ ซึ่งการที่เข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่นั้น JAS เองก็ต้องเผชิญกับการต่อสู้แย่งฐานลูกค้าจากค่ายอื่นๆ ที่ยืนอยู่ในตลาดมานาน แต่ JAS ก็ยังมีฐานลูกค้าที่ใช้เน็ตบ้านอยู่และมองกลยุทธ์ว่าภายใน 3 ปีนั้นจะสามารถสร้างฐานลูกค้าได้ 5 ล้านราย ถ้าผมจำไม่ผิด แต่ยังไม่ทราบว่า ARPU นั้นเท่าไหร่ ทั้งหมดนี้ก็ต้องรอดู JAS เองว่าภายในปี 2559 นั้นจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในเดือนไหน โดยสัมปทานคลื่น 900 ที่ JAS ประมูลได้นั้นหมดสัญญาปี 2573 หรือประมาณ 14 ปีนั่นเอง สิ่งที่น่าคิดคือ ถ้าเกิดลองประเมินดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังจากนี้ แต่ที่แน่นอน นักวิเคราะห์หลายๆท่าน ก็ค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับธุรกิจกลุ่มสื่อสารว่าจะไม่กำไรเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว จากการเข้ามาของ JAS ที่จะโหยหาฐานลูกค้ามาไว้ในมือให้ได้มากที่สุด ส่วนวิธีการจะเป็นอย่างไรต้องรอติดตาม

ถ้าลองประเมินรายได้คร่าวๆ

ผมขอวิเคราะห์จากความเห็นส่วนตัวแบบมโนๆ จากข้อมูลที่ JAS เองบอกไว้ว่าจะหาฐานลูกค้าให้ได้ 5 ล้านราย ใน 3 ปี โดยมองว่าส่วนของเน็ตมือถือนั้นจะเกาะลูกค้าระดับบน ซึ่งมี ARPU 500 บาท ในส่วนนี้ผมเองก็มองว่า ARPU ที่ตั้งมาอาจจะแพงเกินไป อีกทั้ง ฐานลูกค้า 5 ล้านรายที่บอกน่าจะไม่ใช่คนที่เป็นลูกค้าระดับบนทั้งหมด จึงขอตัด ARPU เหลือเพียง 250 บาท และมองอย่างลบที่สุดว่า จะไม่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของฐานลูกค้าอีกแล้ว ในปีถัดๆไป

ซึ่งการประเมินรายได้นั้นจะประเมินคร่าวๆดังตาราง



จากยอดการประมูล 4G ถ้าดูเลขกลมๆ จะคุ้มทุน 75 ล้านบาทได้ในปีที่ 7 กรณีนี้ยังไม่รวมค่าเช่าเสา ค่าตั้งเสา ค่าจ้างพนักงานอีก ซึ่งในส่วนนี้ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามีค่าใช้จ่ายส่วนนั้นเท่าไหร่ อันนี้คือการประเมินจากข้อมูลที่ได้ทราบจากข่าวซึ่งเป็นสิ่งที่ JAS คาดหวัง ผมขอออกตัวไว้ก่อนว่าผมวิเคราะห์ขึ้นมาเอง ห้ามเชื่อผม และ นี่ไม่ใช่ตัวเลขที่ถูกต้องทั้งหมดอย่างแน่นอน ภาพกว้างที่ประเมินดูคือ จะคุ้มทุนหรือไม่ และกำไรหรือเปล่า ซึ่งจุดคุ้มทุนจากการประเมินคร่าวๆนั้นบอกว่าปีที่ 7 นั้นน่าจะพออยู่ในจุดนั้นๆได้ 

สุดท้ายแล้วปัจจัยทั้งหมดนั้นอาจต่างจากตารางนี้ซึ่งจะเป็นไปตาม
1.จำนวน User ที่ JAS จะหาได้ในแต่ละปี (ผมเองประเมินตามข้อมูลที่ JAS สัมภาษณ์คือ 5 ล้าน User ใน 3 ปี และ ตั้งแต่ปีที่ 4 จะ Growth ปีละ 3%) สำหรับ 2 ปีแรก ผมมองให้ 0 เลย เนื่องจากน่าจะยังมีความไม่พร้อมในหลายๆอย่างและรายรับที่เข้ามานั้นไม่น่าจะมากสักเท่าไหร่

2.ARPU จริงๆ (ผมประเมินที่ 250 บาทและ Growth ปีละ 3% เช่นกัน)

3.ค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ เช่น ค่าเช่า ค่าตั้งเสา ค่าดอกเบี้ยจากหนี้ต่างๆ

สำหรับ JAS ที่เข้ามาแข่งขันในตลาดอินเตอร์เน็ตมือถือนั้นจะรุ่งหรือร่วง นั้นตอนนี้ผมเองก็ไม่สามารถตอบได้ชัดเจนนักจนกว่าจะได้เห็นรายได้ที่เข้ามา ซึ่งกว่าจะทราบนั้นก็คิดว่าน่าจะเป็นช่วงปลายปี ซึ่งน่าจะรับรู้ได้บ้างในส่วนของ User และ ARPU ของปี 2559 

การลงทุนนี้ผมผิดพลาดหรืออย่างไร ?

เป็นคำถามที่น่าคิด ผมเองก็มีทั้งจุดที่วิเคราะห์ด้านดีและข้อผิดพลาดดังนี้

  • ในส่วนของการประมูลที่ค่อนข้างบ้าคลั่งในเรื่องของราคาประมูลนั้นส่งผลต่อราคาของหุ้น และมูลค่าก็ได้ลดลงเนื่องจากราคาประมูลที่แพงเกินไป จนทำให้นักลงทุนต่างทยอยขายหุ้น แต่ผมยังไม่ขาย สำหรับหุ้นตัวนี้ ผลที่เกิดขึ้นคือลบ 40% ซึ่งสร้างความเสียหายของพอร์ตค่อนข้างเยอะ แต่เอาจริงๆถ้ามองด้านการลงทุนระยะยาวนั้นเลข 40% ก็ถือว่ายังดูน้อยไปที่จะทดสอบหัวใจ VI หรือผมดื้อเอง ??
  • โครงสร้างกิจการเปลี่ยนไปไหม ? สำหรับนักวิเคราะห์และเซียนหลายๆคนบอกว่าการมี JAS เข้ามานั้น JAS ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งฐานลูกค้า จุดที่แย่ที่สุดคือการพากันลดราคาเพื่อแย่งฐานลูกค้า ทำให้กำไรของกิจการกลุ่มสื่อสารนั้นแย่ลง ผมมองข้อนี้ต่างเล็กน้อยตรงที่ว่า ถ้าเกิด 4G นั้นแรงกว่าเน็ตบ้าน อาจทำให้ทุกค่ายที่มีสัปทานในการให้บริการ 4G นั้นได้เปรียบ ผมมองกรณี 4G และ การใช้งานอย่างไม่มีข้อจำกัดนะครับ ถ้าเป็นเคสนี้ โครงสร้างอาจเปลี่ยนในแง่ดีก็คือลูกค้าที่ใช้เน็ตบ้าน อาจมายอมจ่ายให้กับ 4G ก็ได้ เช่นตัวผมเองจ่ายเน็ตบ้านราคาประมาณ 800 บาทต่อเดือน เน็ตมือถืออีกราวๆ 400-500 บาทต่อเดือน รวมๆเดือนๆนึงก็ราวๆ 1,200 บาท ถ้าเกิดมีโปรโมชั่นเน็ตราคา 1,000 บาทใช้ได้ทั้งบ้านและมือถือ ผมอาจจะยอมจ่ายก็ได้ (ลดราคาจากเดิมตั้ง 200 แน่ะ)
  • ราคาหุ้นตอนนี้ต่ำไปหรือไม่นั้น เราต้องดูผลประกอบการ อย่าสนใจข่าวลือ และไม่ควรคาดการณ์ตลาด เพราะไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ
  • สำหรับผมเองถามว่าตอนนี้กลัวมั้ย ตอบว่า กลัวบ้างนะครับ แต่ก็ยังอยากรอดูกลยุทธ์ของ JAS ต่อไปว่าจะเดินหมากอย่างไร ผมอาจจะผิดที่ดื้อถือต่อ หรือผมอาจจะถูก อันนี้ไม่มีใครตอบได้ ต้องบอกว่าเงินกระเป๋าใครกระเป๋ามันครับ 555+ แต่ทุกอย่างที่ได้รับจะเป็นประสบการณ์หากครั้งนี้ที่ผมลงทุนนั้นผิดพลาดไป จริงๆอันนี้เขียนก็เพื่อให้ตัวเองในอนาคตมาอ่านความคิดตอนนี้ด้วยครับ
สุดท้ายแล้วผมเองก็ยังถือว่าเป็นมือใหม่ในการลงทุนและการวิเคราะห์ต่างๆ ยังต้องการประสบการณ์อีกมาก ท่านใดที่เผลอหรือแวะเข้ามาอ่านแล้วมีความคิดเห็นอย่างไร หรือผมมองผิดตรงไหนก็สามารถชี้แนะได้ครับ ยินดีครับ และขอให้โชคดีทุกท่านครับ

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 23 : ตั้งเป้าหมาย


ก่อนอื่นต้องขออภัยท่านผู้อ่านที่แวะเวียนมาอ่าน หลายๆท่านด้วยนะครับ เนื่องจากไม่ได้อัพเดทบลอคค่อนข้างนานมากๆ เนื่องด้วยเหตุผลหลักที่ขาดวินัย และภารกิจต่างๆในปีที่ผ่านมาก็ค่อนข้างเยอะ จึงทำให้ไม่ได้เขียนกันค่อนข้างนาน

ในปีใหม่นี้เรื่องสุดฮิตอันดับต้นๆก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการตั้งเป้าหมาย

เอาจริงๆ ชีวิตมันจะดูไร้ค่า ถ้าเราปราศจากเป้าหมาย

ซึ่งถ้าใครติดตามแฟนเพจของพี่บอย วิสูตร ก็จะทราบกันดีอยู่แล้วว่า ชีวิตเราทุกคนนั้นควรตั้งเป้าหมาย

ก็มีหนังสือแนะนำสำหรับคนที่อยากอ่านแบบเต็มๆ 

ก็ลองไปหาซื้ออ่านได้ครับ ชื่อหนังสือว่า "ฉันเปลี่ยนเพราะเขียนเป้า" ของพี่บอย วิสูตร นั่นเอง

เกริ่นกันมาซะยาว บทความนี้อาจจะแปลกๆ เพราะปกติเขียนแต่เรื่องเกี่ยวกับเงินและการลงทุน

ซึ่งไม่ได้มีประสบการณ์อะไรมากมาย เขียนด้วยความเข้าใจ จากประสบการณ์ของนักลงทุนคนนึง

ที่มีเป้าหมายในชีวิตด้านการลงทุนและอยากจะบันทึกเรื่องราวเอาไว้สำหรับอ่าน

ในวันนึงที่ทำเป้าหมายของตัวเองสำเร็จเท่านั้นเอง...

เอาล่ะเข้าเรื่องกันดีกว่า

มาตั้งเป้าหมายกันเถอะ !!

เป้าหมายนั้นเราสามารถตั้งได้ 1 ปี 3 ปี 5 ปี 10 ปี ก็ตามแต่ระยะเวลาของเป้าหมาย สั้น กลาง ยาว หรือเป้าหมายของชีวิต การเดินทางโดยไร้เป้าหมาย ก็เหมือนการล่องเรือในมหาสมุทรที่ปราศจาคเข็มทิศ
ตรงนี้หลายๆหนังสือหลายๆบทความก็ได้เขียนไปแล้ว

เราสามารถตั้งเป้าหมายเป็นอะไรก็ได้ 

ผมเชื่อว่า คนทุกคนสามารถเป็นได้ในสิ่งที่เขาอยากเป็น ถ้าเขาใช้เวลากับสิ่งนั้นๆ มากพอ

สำหรับใครที่ยังคิดไม่ออกลองตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับ

1.ตัวเราเอง
- เรามีความฝันอะไร ทุกวันนี้ชีวิตเราทำตามฝันนั้นหรือไม่ เราลืมความฝันในวัยเด็กไปแล้วหรือยัง อันนี้จะบอกว่าเขียนไปมันก็เหมือนๆ บทความอื่นๆ แต่สิ่งที่อยากให้ย้ำกับตัวเองก็คือ เราลองถามตัวเองให้แน่ใจก่อนว่าเราชอบอะไร และชีวิตเราเกิดมาเพื่อต้องการทำสิ่งนั้นหรือยัง และถ้าเรามีชีวิตอยู่ได้แค่วันนี้แล้วเรายังไม่ได้ทำ เราจะเสียใจที่เราไม่ได้ทำหรือไม่

2.เงิน
- แน่นอนว่า ชีวิตต้องใช้เงินหลายๆคนอาจจะบอกว่าไม่ใช่หรอก เงินไม่ใช่ทุกสิ่งไปอยู่บ้านดินกับลุงโจน ก็ได้ (ถ้าใครงง ลอง search โจน จันได ดู) เอาจริงๆชีวิตมันมีอะไรมากกว่านั้น สิ่งที่ลุงโจนพูดก็ไม่ได้ผิดว่า เราไม่จำเป็นต้องขวนขวายหาเงินอะไรให้มันมากมาย สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี ที่สอนเราว่าเราสามารถติดดินได้ แต่ไม่ใช่ว่าไม่จำเป็นต้องมีเงิน ตรงนี้หลายๆคนมักเข้าใจผิดว่า คนรวยคือคนโลภ คนนิสัยไม่ดี เบียดเบียนคนจน ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่   ขุนเขาเสนอมุมมองเรื่องเงินว่า เงินเปรียบเสมือนแว่นขยาย ที่จะช่วยขยายสิ่งนั้นให้ใหญ่ขึ้น เช่น เราเป็นคนดี เราจะสามารถขยายความดีให้ยิ่งๆขึ้นไปได้ หากเรามีเงินเราก็ยังไปช่วยเหลือคนอื่นได้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับว่า คนดีหรือคนไม่ดี โดยผมมองว่าคนที่คิดว่าคนที่มีเงินนั้นเป็นคนไม่ดี ดังนั้นเราไม่มีเงินจะดีกว่า มันเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเพียงเท่านั้น

3.ครอบครัว
- อันนี้ขอเขียนจากประสบการณ์ตรง ผมมีเพื่อนหลายๆคนพูดกับผมเสมอว่า ในวันที่เรายังมีพ่อแม่ มีครอบครัว มีคนที่เรารักและรักเราอยู่ เราควรจะตอบแทนเขาให้มากๆ การที่พวกเขาพูดในสิ่งเหล่านั้นที่ผมจดจำได้ดีเพราะว่าเขาไม่มีโอกาสที่จะได้ทำแบบนั้นแล้ว ดังนั้นเวลาที่เรากินข้าวกับพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นมื้ออาหารราคาถูก หรือมื้ออาหารราคาแพง มันไม่สำคัญเท่ากับว่า หากวันใดวันหนึ่งพ่อแม่เราไม่อยู่แล้ว ต่อให้เรามีเงินเป็นสิบๆล้านหรือร้อยล้าน เราก็ไม่สามารถปลุกท่านให้ฟื้นมากินข้าวกับเราได้ ดังนั้นครอบครัวจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรลืมในการตั้งเป้าหมายด้วย มีคำกล่าวว่า "เราไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้กับชาติหน้า อะไรจะมาถึงก่อน เราไม่รู้หรอกว่ามื้ออาหารมื้อนั้นอาจเป็นการเจอกันครั้งสุดท้ายก็เป็นไปได้" ดังนั้นเราควรปฎิบัติต่อครอบครัวและคนที่เรารักให้ดีที่สุดในทุกๆวัน

4.งาน ,ความรัก,สุขภาพ และ อื่นๆ
- จริงๆทั้งหมดนี้ก็เป็นองค์ประกอบที่เราสามารถตั้งเป้าหมายเพิ่มเติมได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงาน ความรักหรืออื่นๆ หากเราตั้งเป้าหมายเรื่องงาน เรื่องสุขภาพ ก็อย่าลืมวัดผลด้วยว่า ปีที่ผ่านมาเราทำงานได้ดีแค่ไหน และเราต้องพยายามเท่าไหร่เพื่อที่จะก้าวไปยังจุดถัดไป เพราะว่าเราไม่สามารถใช้ความรู้และประสบการณ์เดิมๆเพื่อที่จะก้าวข้ามไปยังจุดถัดไปได้

นอกจากนี้การตั้งเป้าหมายที่ดีนั้นก็ควรที่จะต้องสามารถทำได้จริงแบบสุดเอื้อมพอดี อย่าตั้งเป้าหมายแบบยังไงก็ทำได้ เช่น ฉันจะอ่านหนังสือให้ได้ 1 เล่มต่อปี แบบนี้ก็ดูถูกตัวเองเกินไป 555+ อาจจะตั้งเป้าหมายว่า ฉันจะอ่านหนังสือให้ได้เดือนละ 1 เล่ม รวมทั้งปีก็ 12 เล่ม เพื่อที่จะมีความรู้ ตรงนั้นตรงนี้เพิ่ม

เอาล่ะทีนี้ถ้าเราตั้งเป้าหมายแล้ว มันก็อาจจะดูมีแรงบันดาลใจ แต่คนส่วนใหญ่ก็จะลืมใน 15 วัน(ทำการ)


เพื่อที่จะไม่ให้ลืมและก้าวไปสู่เป้าหมายนั้นเราอาจทำแบบพี่บอยก็ได้ 
ก็คือเขียนใส่กระดาษและแปะข้างฝาไว้
แต่ผมมีอะไรที่เด็ดกว่านั้น และตามเราไปได้ทุกที่

Smartphone ไง!!

เคล็ดลับของผมคือจดไว้ใน note ใน Smartphone ของท่าน 
ถ้าอายเพื่อนก็ไม่ต้องไปโชว์ให้เขาเห็น แต่อย่าลืมดูทุกเช้าที่ตื่น และ ก่อนนอนที่เราจะหลับ
อันนี้ยังปกติทั่วไป ผมมีเด็ดกว่านั้น ถ้าไม่เด็ดคงไม่มาเขียน เพราะหลายๆคนก็สามารถหาอ่านได้ทั่วไปอยู่แล้ว

การตั้งเป้าหมายนั้นจริงๆแล้ว สิ่งที่จะทำให้เราไปสู่เป้าหมายได้ เราต้องมีเป้าหมายย่อยๆเพื่อที่จะไปสู่จุดนั้น

ปีที่แล้วผมตั้งเป้าหมายไว้ 11 เรื่อง ทำได้จริง 6 เรื่อง พลาดเป้าไป 5 เรื่อง สังเกตดูว่ามันไม่ 100% จริงๆแล้วก็ทำได้เพียง 50% เท่านั้น แต่อย่าลืมว่า ถ้าเราทำได้ 50% ในทุกๆปี นั่นแปลว่าแต่ละปีเรามีวินัยในตัวเองที่สามารถทำตามเป้าหมายนั้นได้ 50% ถ้าเป็นเรื่องของการพัฒนาตัวเอง ก็แปลว่าเราเจ๋งขึ้นจากเดิมอีก 50% ในทุกๆปีนั่นเอง ไม่ต้องแข่งกับใคร ถ้าเรายังไม่ชนะใจตัวเอง ดังนั้นแข่งกับตัวเองให้ชนะเสียก่อน

เปลี่ยนเป้าหมายให้เป็น งานย่อยในแต่ละวัน!!

เอาเป้าหมายที่เราเขียนมาหลายๆข้อ มาย่อยเป็นงานที่เราต้องทำในแต่ละวัน เช่น
-ฉันจะสอบ single license หรือที่เรียกว่า หลักสูตรผู้แนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์ 
ให้ได้ภายในระยะเวลา 1 ปี
แน่นอนว่ามันยังดูกว้างไปและยังไม่รู้ว่า เราจะเข้าใกล้มันได้ยังไง

อันนี้ที่ผมกำลังลองใช้กับตัวเองก็คือเขียนออกมาเป็นงานที่ต้องทำในแต่ละวัน
-ฉันจะอ่านหนังสือ ตลาดการเงินและการลงทุนในหลักทรัพย์ ทุกวัน วันละ 30 นาที ในช่วงเวลา - เวลา เราก็จะพอประเมินได้ว่า หนังสือมันมีเนื้อหาครอบคลุมทั้งหมดกี่หน้า และเราอ่านได้วันละกี่หน้า และเราพร้อมที่จะไปสอบได้ประมาณเมื่อไหร่ และคิดว่าจะสามารถสอบได้ในครั้งแรกเลยหรือไม่ ทุกอย่างมันจะพอประเมินและกำหนดระยะเวลาของเป้าหมายได้

นี่ก็เป็นเพียงตัวอย่างนึงของเป้าหมายนึงที่ผมตั้งเอาไว้ในปีนี้  และคิดว่าน่าจะสามารถทำได้ ซึ่งในวันใดวันหนึ่งที่ผมสามารถทำเป้าหมายข้อนี้ได้สำเร็จ ก็จะมาอัพเดทกันอีกครั้งนึง

ขอให้ทุกคนสำเร็จตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ครับ :)


ตอนที่ 22 : การลงทุนมีความเสี่ยง แต่ที่เสี่ยงกว่าคือการไม่ลงทุน

จากที่ได้เกริ่นไว้ในตอนที่แล้วในเรื่องของมูลค่าของเงินที่ผ่านไปตามเวลานั้น

หากเราเก็บไว้เฉยๆ มูลค่าของมันก็จะลดลงไปเรื่อยๆ แม้ว่าจำนวนเงินของเรายังเท่าเดิมก็ตาม

ดังนั้นเราจำเป็นต้องจ่ายเงินออกไปเพื่อให้เงินนั้นกลับมาสร้างเงินให้กับเรา

ยิ่งในตลาดหุ้นช่วงนี้แล้ว หลายๆคนอาจจะเป็นกังวลว่า เพราะราคาหุ้นต่างๆนั้นปรับตัวลงค่อนข้างเยอะ

ใช่ครับ มันอาจจะลำบากใจที่เราต้องทนเห็นเงินเราลดไปเฉยๆ

แต่หากกิจการนั้นยังคงสร้างรายได้ ได้ และไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างของกิจการนั้น

แม้ว่าผู้คนจะให้ ราคา ที่ลดลง แต่หากกิจการนั้นมี มูลค่า ที่สูง  ท้ายที่สุดแล้ว

ราคาหุ้นนั้นก็จะปรับไปสู่มูลค่าที่แท้จริงเอง (แต่ต้องอดทนหน่อยนะ)

ทำไมจึงต้องลงทุน ?

  • เพราะการฝากเงินในธนาคารมันไม่ชนะเงินเฟ้อ ข้อนี้หลายๆคนมองว่าเงินเราไม่ลดไปไหน แต่จริงๆแล้วมันลดทุกๆปี เพราะดอกเบี้ยเงินฝากนั้นน้อยกว่าเงินเฟ้อ แปลว่าแต่ละปีที่ผ่านไปมูลค่าของเงินเรามันด้อยค่าลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปนั่นเอง
  • ลงทุนในไหนดี ตรงนี้บอกได้ว่า แล้วแต่จริตของแต่ละคน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสำหรับมนุษย์เงินเดือนนั้น ก็สามารถลงทุนใน LTF ได้ ซึ่งก็สามารถลดภาษีได้อีกด้วย โดยธนาคารผู้ขาย LTF เขาก็จะให้เราประเมินก่อนว่าเรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน และ จะแนะนำ LTF ที่เหมาะกับเรา หรือถ้าใครยังไม่ได้ลงทุนเกี่ยวกับประกันชีวิต สำหรับประกันชีวิตก็เป็นทางเลือกที่ดีมากๆสำหรับคนที่อยู่ข้างหลังเรา ในวันที่เราไม่อยู่ นั่นเอง
  • ลงทุนช่วงไหนถึงจะดี เอาจริงๆการที่เป็นนักลงทุนระยะยาวนั้นสามารถบอกได้ว่า ลงทุนได้ทุกช่วงเวลาที่เราประเมินแล้วว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นนั้นสูงกว่าราคาที่ซื้อขายกันในตลาด หรือจะดีกว่านั้นคือต้องเข้าใจจังหวะในการซื้อ ซึ่งอาจจะใช้เทคนิคอล หรือรอซื้อจังหวะที่เกิดข่าวร้ายกับกิจการนั้นก็ได้