วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 29 : อัพเดทหลักการลงทุนของผม - 201608 (ตอนที่ 2)

เกริ่นยาวไป 1 บทความก็มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า

เนื่องจากวันนี้มีความตั้งใจเขียนค่อนข้างเยอะ รวมไปถึงได้ศึกษาเคล็ดหลักวิชาเพิ่มมากขึ้น

ประกอบกับด้วยวัยที่มากขึ้น 5555+ ก็มองว่าช่วงเวลาที่ตัวผมเองได้ลงทุนนั้น

มันก็มีข้อผิดพลาดค่อนข้างเยอะ และสิ่งต่างๆก็เปลี่ยนไปมากมาย

แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยคือ แนวทาง VI (Value Investor) สำหรับผมแล้วยังเป็นแนวทางหลัก

ส่วน Technical นั้นผมศึกษาไว้เป็นแนวทางรอง  เพื่อดูอารมณ์ตลาดว่าตอนนี้ตลาดคิดยังไง

คนส่วนใหญ่คิดแบบไหน

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ตลอดเวลาการลงทุนที่ผ่านมาผมเรียนรู้อะไรบ้าง ขอแบ่งเป็นข้อๆ

  • การซื้อหุ้นต้องพิจารณาดังนี้ รายได้มากขึ้น กำไรมากขึ้น เงินปันผลก็ควรจะมากขึ้น
  • การซื้อหุ้นต้องพิจารณาที่มูลค่า ไม่ใช่ราคา ที่สำคัญ พื้นฐานต้องดี
  • 56-1 เป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้เรารู้ว่ากิจการทำอะไร มีแนวโน้มยังไง และพอจะเชื่อได้ไหม
  • VI โหดๆ เขาติดตามและอ่าน 56-1 ทุกบริษัทที่เขาสนใจ
  • การซื้อหุ้นต้องมี Margin of Safety ตอนเด็กๆผมไม่เคยเข้าใจมันเลย
  • จังหวะการซื้อ ผมมองว่าอันนี้เป็นเรื่องที่ Technical มีส่วนอยู่หน่อยๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ข้อต่างๆที่ผมสรุปมา หากจะให้ผมอธิบายเกรงว่าจะอธิบายได้ไม่ชัดเจนถึงรายละเอียด 

ซึ่งแนะนำว่าหากนักลงทุนหรือใครที่ยังไม่ทราบ

ควรศึกษาเพิ่มเติมน่าจะครอบคลุมถึงรายละเอียดมากกว่า

ตัวอย่างข้อผิดพลาดที่ผมเคยทำมา
  • ซื้อหุ้นดี ที่ราคาแพงไป 
  • ซื้อหุ้นตามเพื่อน
  • ซื้อหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันมากเกินไป
  • ซื้อหุ้นที่ไม่มี Upside หรือ Margin of Safety และใจร้อนเกินเวลาอยากได้หุ้น
ท้ายที่สุดแล้วหุ้นเหล่านี้กว่า 90% ที่ผมซื้อนั้นเรียกได้ว่าไม่เจ็บตัว 

แต่ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนนั้นไม่ดีเท่าที่ควร 

ส่วนหลังจากนี้ในปี 2559 นั้นผมเองก็ได้ลองใช้แนวทางของทั้ง VI (95%) และ Technical (5%)

เอามาประยุกต์เป็นแนวทางของผมเองและใช้ตัวเองในการทดลองแนวทางนี้บนเงินจริง!

แน่นอนว่า ไม่เจ็บตัว ย่อมไม่ได้เรียนรู้ 

อะไรที่ทำให้เราเจ็บ แต่ไม่ตาย มันจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นเสมอ

SET เมื่อต้นปี เปิดที่ 1286 และตอนนี้อยู่ที่ 1549 หรือขึ้นมาที่ 20.45%  

ซึ่งหุ้นที่ผมซื้อตั้งแต่ต้นปีนั้นผลตอบแทนเฉลี่ยนั้นสูงกว่าตลาดอยู่บ้างพอประมาณ

ตอนนี้เองผมก็ไม่ทราบว่าสิ่งที่ทำได้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มันคือฟลุค 

หรือมันเป็นแนวทางที่ถูกต้องอย่างแท้จริง

แต่ที่แน่ๆก็คือ ในการที่คนเราจะมีความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนนั้น

สิ่งแรกเลยที่ต้องมีคือวินัยในการออม เก็บเงินทุกเดือนเพื่อลงทุน นี่คือบันไดขั้นแรกสำหรับการลงทุน

สำหรับเรื่องนี้

ผมขอเวลาทดสอบอีก 2-3 ปี เพื่อให้ชัดเจนว่าแนวทางนี้สามารถเอาชนะตลาดได้อย่างต่อเนื่อง

แล้วจะมาอัพเดทกันใหม่อีกครั้ง

ตอนที่ 28 : อัพเดทหลักการลงทุนของผม - 201608 (ตอนที่ 1)

จริงๆกว่าจะเขียนบทความนี้ได้ ต้องเกริ่นนำไปถึงอดีตที่ผ่านมา

แน่นอนว่าอดีตที่ผ่านมาย่อมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

ความคิดของตัวเราเองเมื่อวาน ก็อาจจะไม่ใช่ความคิดของตัวเราเองในวันนี้

คำกล่าวที่ว่า "สิ่งไหนที่วัดผลได้ สิ่งนั้นย่อมดีขึ้นเสมอ"  นั้นเป็นจริงเสมอ

2-3 ปีก่อนผมค่อนข้างมั่นใจที่จะก้าวเข้ามาสู่การเป็นนักลงทุน

หลายๆคนถามผมว่าเริ่มต้นลงทุนในหุ้นเนี่ย มันต้องใช้เงินเท่าไหร่

ผมตอบไปว่า เท่าไหร่ก็ได้ ขอให้มีเงินซื้อหุ้นได้ครบ 100 หน่วยก็พอ

ถ้าตอบแบบนี้อาจจะกวนตีนไปนิด แต่มันก็จริง ซึ่งจริงๆมันก็มีเงื่อนไขการซื้ออยู่ค่อนข้างเยอะ

อาจจะเป็นการซื้อเศษหุ้นก็ได้ หรือแม้แต่ข้อมูลที่ว่าถ้าเราซื้อหุ้นที่ราคาสูงกว่า 500 บาท

ก็สามารถซื้อได้ครั้งละ 50 หุ้น แต่สำหรับตอนนี้เราน่าจะยังไม่พูดถึงข้อเหล่านี้

เพื่อให้จำง่ายๆก็คือเรามีเงินให้พอซื้อหุ้นเหล่านั้นได้ 100 หน่วย เราก็สามารถเป็นเจ้าของหุ้นได้แล้ว

เกริ่นไปก็หลายบรรทัด สรุปอย่างรวดเร็ว

ผมเริ่มที่เงินจำนวน 5,000 บาท และซื้อหุ้นในหมวดขนส่งและโลจิสติกส์ไป

เท่าที่จำได้คือซื้อไป 500 หน่วย เพราะตอนนั้นหุ้นตัวนั้นราคาประมาณ 8 บาท  ก็เกือบๆ 5,000 บาท

ซื้อหุ้นบริษัทเดียว ถึงกับหมดตูดทันที

เหตุผลที่ซื้อเพราะผมมองว่าดี มีคนใช้บริการประจำ

เพราะมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานในเมืองนั้นต้องใช้แทบทุกคน

ตอนนั้นคิดเท่านี้จริงๆ และตอนนี้พอร์ตผมก็ยังมีหุ้นตัวนี้อยู่ โดยตั้งใจเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ 555+

เขียนมาถึงตรงนี้ หลายๆอาจจะงงว่ามันเจ๊งมารึเปล่า ไอ้หุ้นตัวนี้น่ะ

ไม่ใช่นะครับ ตอนนี้ราคา 9 บาทกว่าๆแน่ะ กำไรเห็นๆ แต่ถือมาตั้ง 3 ปีได้

ไม่รวมปันผลอีกประมาณ 2 บาท กว่าๆนะครับ

ถ้าเอาปันผลไปลบก็น่าจะเหลือทุนราวๆ 5 บาทกว่าๆเท่านั้นเอง

ซึ่งตัวนี้ผมยังมองว่าได้ผลตอบแทนจากมันค่อนข้างน้อยนะครับ

ถ้าเทียบกับอีกตัวที่ซื้อในช่วงที่ SET อยู่ที่ประมาณ 1600-1700 จุด ผมเองก็จำไม่ได้แน่นอนนัก

อีกตัวคือหุ้นกลุ่มธุรกิจการเงิน ที่ผมซื้อในราคาประมาณ 38 บาท และตอนนี้ราคาประมาณ 52 บาท

หรือกำไรประมาณ 36% นั่นเอง ถ้ารวมปันผลที่จ่ายผมมาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมาก็ประมาณ 6 บาท

หรือมองง่ายๆว่าต้นทุนผมประมาณ 32 บาท หรือกำไร 61% จากหุ้นตัวนี้นั่นเอง

เห็นไหมครับว่าจริงๆแล้วเราแค่เลือกหุ้นที่ดี แล้วถือมันให้นานพอ พอร์ตเราก็สามารถเติบโตได้แล้วครับ


วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 27 : ลาก่อน JAS

วันหน้ายังมี แต่วันนี้ขอลา

ผมตัดสินใจขาย JAS ไปด้วยเหตุผลคนละเหตุผลกับตอนซื้อ

เมื่อ 2-3 ปีก่อนผมซื้อด้วยเหตุผลที่ว่า JAS เป็นดาวรุ่งที่น่าจะพุ่งได้แรงน่าจะมีโอกาสเติบโต

ขอออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้เขียนเพื่อชี้นำใดๆ กับหุ้นตัวนี้ และก็ตัดสินใจว่าจะเขียนถึงชื่อหุ้น

เป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากรู้สึกไม่ดีในการที่เราเขียนเจาะจงหุ้นเป็นรายตัว

และขอออกตัวอีกว่า JAS นั้นสร้างผลกำไรให้ผมค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็น
ส่วนต่างของมูลค่า (capital gain) หรือแม้กระทั่ง เงินปันผล (dividend yield)

เหตุผลที่ขายก็คือว่า ผมไม่สามารถทำความเข้าใจและประเมินธุรกิจในอนาคตได้

เมื่อมีความไม่แน่ใจ ผมก็ไม่สามารถถือต่อไปได้อย่างสบายใจ จึงต้องขายออกไป ก็เท่านั้นเอง

ส่วนวันหน้าจะเป็นอย่างไร ผมจะมอง JAS ในมุมไหน 

มันเป็นเรื่องของอนาคตที่ยังไม่สามารถบอกได้เช่นกัน