วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ตอนที่ 21 : ยิ่งจ่ายยิ่งรวย !!


ยิ่งจ่ายยิ่งรวย !?

การจ่ายเงินนั้นสามารถนำมาซึ่งรายได้ หากเงินที่จ่ายออกไปนั้นสามารถทำรายได้กลับมาให้เรา

อะไรคือการจ่ายเงินออกไปเพื่อนำมาซึ่งรายได้? หลายคนอาจจะงง

การจ่ายเงินออกไปเพื่อสร้างรายได้กลับมาในอนาคต เราเรียกว่าการลงทุน นั่นเอง

การจ่ายเงินเพื่อลงทุนมีอะไรบ้าง ?


1.การจ่ายเงินเพื่อสร้างความรู้ให้กับตัวเอง  


เป็นวิธีที่ประหยัดที่สุดและสร้างผลตอบแทนได้สูงที่สุดเทียบกับการลงทุนทั้งหมด 

ทำไม ?

ก็เพราะว่า การจ่ายเงินเพื่อพัฒนาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ
การเข้าคอร์สัมมนาต่างๆมันจะเป็นกาช่วยให้เราได้เรียนรู้วิธีคิดและข้อผิดพลาดของคนอื่นได้
โดยที่เราไม่ต้องไปลองผิดพลาดเอง

หลายคนอาจจะบอกว่า ถ้าไม่พลาดเอง แล้วจะจำได้แม่นได้อย่างไร ?

เอาตรงๆ คนเราเกิดมา มันไม่ได้มีเวลาเพียงพอให้ล้มเหลวอะไรมากมายนัก ในการศึกษาข้อผิดพลาดหรือความล้มเหลวของคนอื่น
มันช่วยให้เราเข้าใจว่าเขาเหล่านั้นสามารถก้าวข้ามความล้มเหลวได้อย่างไร 

ผมพูดเสมอว่าคนเรานั้นจะเลือกตัดสินใจภายใต้ขีดจำกัดของข้อมูลที่เรามีอยู่ ดังนั้นหากเรามีข้อมูลมากขึ้น นั่นแปลว่าเราสามารถที่จะมองหรือตัดสินใจภายใต้ขอบเขตที่กว้างมากขึ้นนั่นเอง

2.การจ่ายเงินเพื่อการลงทุน

การเก็บเงินเอาไว้เฉยๆ หรือออมเงินในบัญชีธนาคารนั้นไม่ตอบโจทย์ดอกเบี้ยเงินเฟ้อ

ใช่ครับ! ยิ่งฝากยิ่งจนลง

จนในที่นี่ ไม่ได้หมายถึงว่า เราฝากเงินไว้ 1 ล้านบาท แล้ววันหน้ามันจะเหลือ 1 แสนบาท

ถูกต้อง เงิน 1 ล้านบาทในวันนี้ ก็ยังคงเป็นเงิน 1 ล้านบาทในวันข้างหน้าครับ

เพียงแต่ว่ามูลค่าจริงๆมันไม่เท่ากัน!!

อ้าว...


1 ล้านบาทในวันนี้ ไม่เท่ากับ 1 ล้านบาทในวันหน้า  บ้ารึเปล่า ???

ถ้านึกไม่ออก ผมขอยกตัวอย่างนิดนึง

สมัย 10-20 ปีก่อน เราอาจจะกินข้าวจานละ 20 บาท

เงิน 100 บาท สามารถซื้อข้าวได้ 5 จาน

สมัยนี้ เราอาจจะกินข้าวร้านเดียวกัน และ สั่งเมนูเดียวกัน กับ 10-20 ปีก่อน (ถ้าร้านมันยังไม่เจ๊ง) ในราคาจานละ 50 บาท

แปลว่าอะไร

100 บาท สมัยก่อน ซื้อข้าวได้ 5 จาน
100 บาท สมัยนี้ ซื้อข้าวได้ 2 จาน

แล้วข้าวหายไปไหน 3 จาน ???  

มันคือเงินเฟ้อ!! 


ทุกๆปีที่ผ่านไป แน่นอนว่าข้าวของแพงขึ้นครับ แต่ถ้าเงินเก็บที่เราเก็บยังเท่าเดิม

นั่นแปลว่า ค่าของเงินที่เราเคยมี มันลดลงไป...

ดังนั้นวิธีการที่เราสามารถที่จะรวยขึ้นได้ ไมใช่การเก็บออม แต่เป็นการจ่ายเพื่อออมต่างหาก

การจ่ายเงินออกไป เพื่อกลับมาเป็นเงินออมในอนาคต นั่นคือการลงทุน

และข้อที่สำคัญที่สุดของการลงทุนคือ การลงทุนนั้นๆจะต้องสามารถที่จะสร้างเงินให้กับเราได้มากกว่าอัตราเงินเฟ้อในแต่ละปี !!

ออมอย่างเดียว ไม่ตอบโจทย์

สิ่งที่ตอบโจทย์คือจ่ายเงินออกไปเพื่อสร้างกระแสเงินสดที่จะนำมาซึ่งความมั่งคั่งต่างหาก







วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตอนที่ 20 : รวยเงินล้าน ใครๆก็ทำได้ จริงดิ?

รวยเงินล้านใครก็ทำได้ จริงดิ?

เอาจริงๆผมจั่วหัวมาซะขนาดนี้จะบอกว่าการหาเงินล้านนั้นไม่ยากเลย (ถ้าใครมีแล้ว กดปิดไปได้เลย)

หลายคนอาจจะถามว่าเฮ้ย เอ็งมีเงินเป็นล้านแล้วเหรอถึงมาเขียนบทความนี้อะ

ไม่ครับ ตอนนี้ยังไม่มี แต่อนาคตมีชัวร์ (พูดจาเหมือนขายฝัน แต่มันคือฝันที่ผ่านการวางแผน หุหุ)

ทีนี้มาดูก่อนว่าเราจะหาเงิน 1 ล้านบาทได้อย่างไร


1.คุณต้องสร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่


ข้อนี้เป็นวิธีที่เร็วสุดๆ หลายคนสร้างตัวเพียงข้ามคืนจากข้อนี้แหละ

เอาเป็นว่าจะเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น App มือถือที่ติดโฆษณาแล้วมียอดคนใช้ 1 ล้านคนทั่วโลก

เงินล้านก็จะมาได้โดยไม่ยาก หรือจะเป็นอย่างอื่น ข้อนี้ยากตรงไอเดีย ถ้ามั่นใจว่าเจ๋ง จัดไป!!

ถ้าใครพยายามแล้วไม่ไหวหรือยังคิดไม่ออกข้ามข้อนี้ไปก่อน

2.คุณต้องเก่งสุดๆ อยู่ในระดับต้นๆ ของอาชีพนั้นๆ


ถ้าคุณเก่งซะอย่าง เดี๋ยวเงินมาหาเอง

ถ้าคุณไม่เก่งก็ฝึกทักษะ พัฒนาตัวเองอยู่เสมอให้อยู่ในระดับ top ของอาชีพนั้นๆ

ถ้าพยายามแล้วรู้สึกยังไงก็ไม่เก่ง ไม่สามารถก้าวไประดับ top ของสายอาชีพได้ ข้ามข้อนี้ไป

3.คุณต้องมีกิจการของตัวเอง


ไม่ว่าจะเป็นแม่ค้าขายปลาทูส่ง หรือจะขายครีม หรือจะเป็นเจ้าของธุรกิจอะไรก็ตามแต่ 

ถ้าคุณบริหารจนธุรกิจมันสร้างกำไรเป็นบวก คุณก็แค่ทำมันซ้ำเรื่อยๆ เดี๋ยวเงินล้านก็มาเอง

ถ้าใครไม่ชอบแนวนี้หรือพยายามแล้วไม่ไหว ก็ข้ามข้อนี้ไป

4.มนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ


ถ้าสมมติว่าเราคิดสร้างนวัตกรรมไม่ออก

ถ้าสมมติว่าเราไม่เก่งระดับต้นๆของสายอาชีพ

และถ้าสมมติว่าเราไม่มีกิจการอะไรเป็นของตัวเองเลย


ก็เป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆนี่แหละ!!

หื้มม ใครจะไปคิดว่ามนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ จะหาเงินล้านได้

ข้อนี้ผมจะบอกว่า ความเชื่อที่ว่ามนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆนี่ว่าไม่มีทางรวยน่ะมันไม่จริง

คุณรวยได้... ใช่ รวยได้จริงๆ แต่มันต้องมีวิธีซักหน่อย

ซึ่งผมมีวิธีที่ทำได้แน่นอน 100% มาฝาก เอ้าจริงดิ!

ถ้าคุณ ไม่เก่งโคตรๆ ไม่มีกิจการเป็นของตัวเอง ไม่ถนัดสร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์กับคนมากมาย

ผมขอเสนอเพียงอย่างเดียวที่คุณต้องมี นั่นคือ "ความอึด"

วิธีนี้เป็นวิธีที่พื้นฐานมากๆๆๆๆ ก่อนที่จะต่อยอดไปยังเรื่องอื่นนั่นคือ



คุณต้องเริ่มเก็บตังทีละนิดๆ ในเมื่อเราไม่เก่ง แต่ต้องไม่ลืมพัฒนาทักษะในสายอาชีพที่เราทำ

เพราะถ้าเราทำงานซ้ำๆเดิมๆ แน่นอน ไม่มีใครเขาอยากขึ้นเงินเดือนให้เราหรอกครับ ดังนั้น

ไม่ว่าจะทำงานผ่านไปกี่ปี ถ้าคุณยังทำงานได้เท่าเดิม การที่คุณจะได้เงินเดือนเท่าเดิมย่อมไม่แปลก



ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องใช้เวลาในการเก็บออมเงินของเราครับ

อันดับแรกเลย สมมติว่าเราเริ่มเก็บเงินปีแรก ผมขอเสนอเบาๆ เดือนละ 1,000 บาท

ตัวเลขนี้คงไม่ยากเกินไปใช่ไหมครับ

แล้วปีถัดๆมา เราก็เก็บเพิ่มขึ้นต่อเดือน ปีละ 1,000 บาท ต่อให้เราเก็บเงินเฉยๆ

เราก็จะมีเงิน 1 ล้านบาทในปีที่ 13 ดังตารางด้านล่างครับ ง่ายไหมครับ ??

ตารางข้างล่างคือผลตอบแทนตาม % ต่างๆครับ 

โดยมีเงื่อนไขคือเราต้องเอาดอกเบี้ยจากการลงทุน ไปลงทุนต่อเพื่อทบต้นเรื่อยๆ

ซึ่งอย่างที่ผมแนะนำมาโดยตลอดว่าเราไม่ควรฝากเงินที่อัตราดอกเบี้ยทีน้อยกว่า 5%

เพราะเงินมันจะไม่โตไปกว่าเงินเฟ้อ ซึ่งเฟ้อประมาณปีละ 2.5-3%




เอาล่ะ ถ้าใครกล้าลงทุนหน่อย ก็ไปหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทน 5% 10% 15% เช่น พันธบัตร ตราสารหนี้ กองทุนต่างๆ ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี ซึ่งผมขอบอก่ามีเยอะแยะ ตัวอย่างที่แนะนำเป็นประจำคือกองทุนกรุงศรีหุ้นปันผล หรือ KFSDIV ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 13% ต่อปีเลยทีเดียว

ซึ่งคนที่ไม่เคยศึกษาเรื่องการเงินย่อมไม่รู้ ผมต้องขอบอกว่า ผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไร (แต่ผมอึดนะ) 
ผมก็เพิ่งมาอ่าน เพิ่งมาศึกษาแล้วก็เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง และไม่อยากให้ต้องมาปล่อยเวลาให้มันผ่านไปเฉยๆ เท่านั้นเอง

บางคนอาจจะบอกว่า โห ต้อง 20 ปีเลยเหรอกว่าจะรวยได้ 

เชื่อผมเถอะ 20 ปี ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย มันก็ต้องผ่านไปอยู่ดี 
ดังนั้นเราเอาเวลามาเก็บเงินแล้วลงทุนดีกว่ามั้ย

ทีนี้เรามาดูเฉพาะดอกเบี้ยกันดีกว่า



เราก็พบอีกว่า เฉพาะดอกเบี้ยนั้นก็จะโตขึ้นเรื่อยๆในแต่ละปี

สมมติอีกว่าถ้าเราคิดว่า เราหาเงินมา 20 ปีแล้ว และเราจะไม่ฝากเงินอีกต่อไปแล้ว เรามาดูกันว่า

ในปีที่ 20 นั้น ที่ผลตอบแทนตาม % ต่างๆ จะสร้างรายได้ให้กับเราต่อปี และ ต่อเดือนเป็นเท่าไหร่

ข้อมูลตามตารางข้างล่างเลยครับ




จะเห็นได้ว่า ถ้าเราเก็บเงินมากขึ้นเรื่อยๆต่อเดือน ปีละ 1,000 บาท

ที่ปีที่ 20

ถ้าเราถือเป็นเงินทิ้งไว้ ไม่ลงทุนอะไรเลย เราจะมีเงินทั้งสิ้นจำนวน 2,520,000 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 3% จะมีเงินทั้งสิ้น จำนวน 3,162,712 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 5% จะมีเงินทั้งสิ้น จำนวน 3,709,251 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 10% จะมีเงินทั้งสิ้น จำนวน 5,676,330 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 15% จะมีเงินทั้งสิ้น จำนวน 8,998,531 บาท (เกือบ 10 ล้านเลยทีเดียว)

สิ่งที่ผมจะให้มองต่อไปคือเราต้องห้ามเสียเงินต้น ดังนั้นเงินที่เราสะสมได้ห้ามเอามาใช้

ใช่ครับ ห้ามเอามาใช้

เราจะใช้เพียงแต่ดอกเบี้ยที่เงินนั้นสร้างให้เรา

ซึ่งเรียกกันว่า การให้เงินทำงาน หรือ money making machine ก็ได้ครับ

ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 3% จะมีเงินดอกเบี้ยให้ใช้ต่อเดือน จำนวน 7,906 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 5% จะมีเงินดอกเบี้ยให้ใช้ต่อเดือน จำนวน 15,455 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 10%  จะมีเงินดอกเบี้ยให้ใช้ต่อเดือน จำนวน 47,302 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 15%  จะมีเงินดอกเบี้ยให้ใช้ต่อเดือน จำนวน 112,481 บาท

นั่นแหละครับ เงินที่จะสร้างเงินเดือนให้เราตลอดไปจนตาย หลักการง่ายๆแค่นี้เองครับ

ข้อสำคัญคือเราต้องสร้างเงินต้นให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเยอะได้ จะกำหนด 10 ปี 20 ปี 30 ปี 40 ปี

ก็แล้วแต่ความพึงพอใจเลยครับ

ประเด็นคือ คุณต้องมีเงินมากพอที่จะสร้างเงินที่เลี้ยงเราได้จนวันตาย โดยห้ามใช้เงินต้น





เอาล่ะทีนี้ถ้าคิดว่าตารางแรกมันยากเกินไป ผมเปลี่ยนให้คุณใหม่ 

อ่ะๆๆ เก็บเงินเดือนละ 500 ก็พอ แล้วก็เก็บเพิ่มขึ้นทุกๆปี โดยขึ้นปีใหม่ 

เราก็เก็บเพิ่มขึ้น 500 บาทต่อเดือน แต่ครั้งนี้ถ้าเราเก็บเงินได้น้อยผมจำเป็นต้องขยายจำนวนปี

จาก 20 ปีเป็น 30 ปีครับ ทีนี้มาดูผลตอบแทนกัน ตามตารางข้างล่าง




 เฉพาะดอกเบี้ยที่เราจะได้ จะเป็นดังนี้ครับ


เมื่อครบ 30 ปีเราก็จะมีเงินตามตารางข้างล่างครับ


ผมขออธิบายซ้ำอีกรอบเพื่อความกระจ่างนะครับ

ที่ปีที่ 30

ถ้าเราถือเป็นเงินทิ้งไว้ ไม่ลงทุนอะไรเลย เราจะมีเงินทั้งสิ้นจำนวน 2,790,000 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 3% จะมีเงินทั้งสิ้น จำนวน 3,914,552 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 5% จะมีเงินทั้งสิ้น จำนวน 5,009,860 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 10% จะมีเงินทั้งสิ้น จำนวน 9,962,266 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 15% จะมีเงินทั้งสิ้น จำนวน 21,618,018 บาท (ทะลุ 10 ล้านเลยทีเดียว)

สิ่งที่ผมจะให้มองต่อไปคือ เหมือนเดิม เราต้องห้ามเสียเงินต้น

ดังนั้นเงินที่เราสะสมได้ห้ามเอามาใช้

ใช่ครับ ห้ามเอามาใช้

เราจะใช้เพียงแต่ดอกเบี้ยที่เงินนั้นสร้างให้เรา

ซึ่งเรียกกันว่า การให้เงินทำงาน หรือ money making machine ก็ได้ครับ

(ตั้งใจเขียนซ้ำเพื่อความเข้าใจ 555)

ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 3% จะมีเงินดอกเบี้ยให้ใช้ต่อเดือน จำนวน 9,786 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 5% จะมีเงินดอกเบี้ยให้ใช้ต่อเดือน จำนวน 20,874 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 10%  จะมีเงินดอกเบี้ยให้ใช้ต่อเดือน จำนวน 83,018 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 15%  จะมีเงินดอกเบี้ยให้ใช้ต่อเดือน จำนวน 270,225 บาท

นี่แหละครับ วิธีการสร้างเงินเดือนของเราในอนาคตจากเงินของเราเอง

ขอเพียงแค่คุณมีวินัย ความเข้าใจในการหาที่ๆสร้างผลตอบแทนตาม % ต่างๆ และ ความอึด

คุณก็จะสามารถสร้างเงินล้านและนำมันมาสร้างเป็นเงินเดือนที่เลี้ยงเราไปจนตายได้

โดยไม่มีสิทธิ์เลิกจ้างเราหรือเบี้ยวไม่ยอมจ่ายเงินเดือนให้เราได้ ให้กับเราตลอดชีวิต

ง่ายป่ะครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตอนที่ 19 : เกมเศรษฐี!!



ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงจะเคยเล่นเกมเศรษฐีกันมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Monopoly สมัยก่อน หรือถ้าเป็นสมัยนี้ต้อง Get Rich เกมเศรษฐีของทาง Line ซึ่งโด่งดังมากๆในขณะนี้

ที่ผมเขียนเรื่องนี้เพราะอะไร ?

ผมจะบอกว่าเราทุกคนต่างก็เคยเล่นเกมเศรษฐีมาและทุกคนที่เล่นเกมนี้ผมก็เชื่ออีกว่าเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายเดียวของเกม นั่นก็คือการได้เป็นเศรษฐีและเอาชนะคู่แข่งให้ล้มละลายหมดตัว!! (แต่ชีวิตจริงเราไม่ควรไปทำให้ใครหมดตัวนะ)

ในเกมนั้นสอนให้เราเอาเงินสด ไปซื้อเป็นที่ดิน พอเราเดินตกที่ดินของเราอีกรอบ เราก็จะสามารถซื้อบ้าน หรือสร้างโรงแรมได้ เมื่อคนอื่นมาตกที่ของเรา เราก็จะได้เงินจากการเข้ามาพักอาศัยของคนที่มาตก แล้วเราก็นำเงินนั้นไปลงทุนซื้อโรงแรมหรือซื้อที่ดินราคาแพงๆ เพื่อที่จะได้สร้างรายได้ที่มากกว่าเดิมต่อๆไป จนเรากลายเป็นผู้ชนะ มีที่ดินหมดทั้งกระดาน

อุปสรรคต่างๆในเกมก็เช่น เราอาจจะซวยต้องไปซื้อเรือยอช หรือซื้อของราคาแพงๆ ซึ่งการตกช่องเหล่านี้เรามักจะเซ็งเพราะเราต้องการเอาเงินที่เราเก็บไว้นั้นไปซื้อที่ดิน บ้าน หรือโรงแรมมากกว่า

แน่นอนว่าทุกคนรู้ว่าถ้าเรายิ่งมีที่ดินในครอบครองมากๆ เราก็จะยิ่งมีโอกาสเป็นผู้ชนะในเกมนี้นั่นเอง

แต่ในชีวิตจริง เรากลับทำตรงข้าม...

คนส่วนใหญ่ที่ไม่รวยเอาเงินไปซื้อสิ่งของที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าในอนาคต  ยิ่งซื้อค่าของมันยิ่งลง  มูลค่าทางการลงทุนที่ยิ่งลดลงตามวันเวลาที่ผ่านไป มันก็คือการซื้อขยะดีๆนี่เอง

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนทำงานทั้งชีวิตแล้วยังไม่รวย เพราะวิธีคิดมันผิดไง!!

ลองกลับไปเล่นเกมเศรษฐีกันอีกครั้ง เพราะเมื่อวันเวลาผ่านไปเราอาจจะลืมไปว่า เกมเศรษฐีนั้นมันเล่นยังไง 

อย่าเอาแต่สร้างแลนด์มาร์คแค่ในเกม 

มาลองสร้างแลนด์มาร์คในชีวิตจริงกันดีกว่า

และสุดท้าย!! อย่าบอกนะว่าคุณไม่เล่นเกม...









วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตอนที่ 18 : กรณีศึกษาหุ้น JAS !?


เรามาลองวิเคราะห์หุ้น JAS กันดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น ?

ก่อนอื่นเลยผมขอออกตัวไว้ก่อนนะครับว่าไม่ได้ได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์อะไรจาก JAS นะครับ ที่หยิบมายกตัวอย่างบ่อยๆเพราะว่าช่วงนี้ หุ้นตัวนี้มันมีอะไรให้น่าเอามาเป็นตัวอย่าง ดังตอนที่ผ่านมาก็คือ ตอนที่ 13 : เงินปันผล 16% เฮ้ย มีจริงดิ !! ที่ผ่านมา และ ในตอนที่ 18 ซึ่งก็คือบทความนี้นั่นเอง เราจะสังเกตว่า ตอนที่ผมเขียนตอนที่ 13 นั้นราคาหุ้น JAS เริ่มพุ่งขึ้นทะลุจาก 7 บาทไปยัง 9 บาทเลยทีเดียว แต่ทำไมวันนี้ราคาหุ้นจึงตกเหลืออยู่ที่ 6.95 บาท หรือลดลงมาจากราคาปิดเมื่อวาน คือ 8.65 บาท (-19.65%)

อันดับแรกผมขอบอกก่อนนะครับว่าผมไม่ได้ลงทุนหุ้นหรือเล่นหุ้นตามข่าว ซึ่งถ้าเล่นตามข่าว ถ้ามันเป็นข่าวจริง ผมไม่เถียงว่ามันอาจจะดีนะ แต่คุณต้องเป็นคนแรกๆที่รู้ข่าวนั้น เราจะมั่นใจได้ยังไงว่าเราจะไม่เป็นคนที่ได้รู้ข่าวนั้นช้าไป ซึ่งถ้าเราเล่นหุ้นตามข่าว เราก็ต้องติดตามข่าวสารนั้นไปตลอดชีวิต แต่การที่เอาข่าวมาเป็นส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์เช่นดูเทรน ดูตลาด ดู GDP ดูข่าวเศรษฐกิจ ก็จะพอเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์หุ้นได้บ้าง ที่สำคัญคือต้องกรองให้ดีว่าอันไหนจริง อันไหนไม่จริง

สำหรับผมดูตามข้อมูล แล้วจะสรุปออกมาให้ฟังนะครับ แต่ข้อมูลเหล่านี้คือสิ่งที่ผมมองครับ ซึ่งผมก็ไม่ใช่นักวิเคราะห์อะไร ซึ่งมันอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ครับ ผมจะสรุปตามข้อมูลที่มีคือผลประกอบการ และ ข้อมูลสิทธิ์ประโยชน์ ที่เราพอจะมีเป็นข้อมูลนะครับ

ประเด็นที่ 1  มองที่ JAS เองนั้นก็ได้ประกาศ XD โดยขึ้นเครื่องหมายวันที่ 5 มีนาคม 2558 ครับ โดยบอกว่าจะปันผล 1.5 บาทต่อหุ้น จุดนี้แปลว่าถ้าใครซื้อหุ้น JAS ก่อนวันที่ 5 มีนาคม ก็จะได้รับปันผลนี้ ส่วนใครซื้อหุ้นภายในวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD ก็จะไม่ได้รับปันผลนั่นเอง ในส่วนนี้คนที่เคยถือหุ้น JAS คิดว่าราคานั้นสูงแล้ว และได้รับปันผลแล้ว จึงทยอยขายออกไป นอกจากนี้ยังมี XD รอบ 2 ให้ลุ้นว่าหุ้นจะขึ้นอีกเล็กน้อยก่อนวันที่ 11 มีนาคมด้วย ซึ่งผมคาดว่าหุ้นอาจจะขึ้นเล็กน้อยและในวันที่ 11 ก็จะลงอีก เพราะมีคนที่ถือรอจนถึงวันนั้นแล้วขายออกไป

สำหรับประเด็นแรกผมวิเคราะห์เฉพาะตัว JAS เท่านั้น

ประเด็นที่ 2 เรามาลองดูตลาดรวมกันบ้างว่าเป็นอย่างไร

ถ้าเราดูตาม SET ปรากฎว่าช่วงนี้มีการเทขายหุ้นครับ

แน่นอนว่ากลุ่มสื่อสารก็เช่นกัน


ทีนี้เรามาดู JAS กันบ้าง

ถ้าเรามองภาพใหญ่ จะเห็นว่า SET ลง กลุ่มสื่อสารหรือ ICT ลง และ JAS ก็ลง

สำหรับผมเองมองว่า ตลาดโดยรวมมันเป็นขาลง นักลงทุนเทขายหุ้นออกไปค่อนข้างเยอะ โดยสังเกตจาก RSI ที่เป็นเครืองมือทางเทคนิค เข้าใกล้ 30 นั่นหมายความว่า สภาพตลาดตอนนี้ใกล้เข้า สถานะ "ขายมากเกินไป" แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันไม่ได้แปลว่า ตลาดจะไม่ลงไปต่อนะครับ

รวมถึงตัว JAS เอง RSI ก็แตะ 30 แล้ว ซึ่งถ้าเรามองจากพื้นฐานของกิจการที่ดีมาโดยตลอด ก็ถือว่าเป็นช่วงที่ดีสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่จะเริ่มเข้ามาเก็บหุ้นตัวนี้ ถ้ามองว่า มันลงเพราะตลาด ไม่ใช่เพราะกิจการ ซึ่งผมก็คิดว่ามันน่าจะเป็นไปตามที่ผมมอง เพราะตัวกิจการเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

หรือถ้าใครคิดว่ารอผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกก่อนก็ยังได้ครับ และตรงนี้ก็ยังเป็นเหมือนจุดเริ่มที่กำลังลง ทางที่ดีคือเราอาจจะแบ่งเงินเป็น 2 กอง โดยกองแรกเข้าไปซื้อก่อน แล้วที่เหลือค่อยตามเก็บ อาจจะเก็บเบาๆช่วงนี้และรอให้ตลาดปรับตัวเป็นขาขึ้น ค่อยเก็บอีกครั้งก็ยังไม่สายครับ

ผมเองค่อนข้างเชื่อมั่นเกี่ยวกับการลงทุนระยะยาวครับสำหรับปัจจัยในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเก็บหุ้นพื้นฐานดีสะสมในพอร์ตของเราครับ โดยอยากจะทยอยเก็บอย่างที่ผมบอกก็ได้ หรือใครที่เล่นสั้น ก็รอสัญญาณซื้อเข้ามาแล้วค่อยทำการซื้อในจังหวะนั้นเพื่อเก็งกำไรต่อไปก็ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นมุมมองของผมที่เป็นมือใหม่นะครับ ซึ่งอาจจะถูกอาจจะผิดก็ได้ และไม่ได้ชี้นำให้ซื้อหรือไม่ซื้อนะครับ ขอให้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจครับ

โชคดีครับทุกท่าน

สำหรับท่านที่สนใจดู Technical Analysis เบื้องต้น กับการใช้กราฟ Aspen ก็สามารถดูได้ที่นี่เลยครับ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตอนที่ 17 : รวมคลิป investment by coalapanda


ทั้งหมดจะเป็นคลิปที่ผมได้ทำไว้เพื่อสอนเพื่อนๆ น้องๆมือใหม่ที่สนใจเกี่ยวกับการลงทุนครับ ซึ่งขณะนี้จะมีอยู่ทั้งหมด 4 ตอนด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความรู้การลงทุนเบื้องต้นนะครับ ถ้าหากใครสนใจก็ลองศึกษาได้ครับ

1.investment 101 ทำความเข้าใจเรื่องการลงทุนกันเถอะ
https://www.youtube.com/watch?v=DCOffbygR_8


investment 102 เริ่มต้นวิเคราะห์งบการเงินอย่างง่ายๆ 
https://www.youtube.com/watch?v=8qSpaI2vqus

investment 103 Technical Analysis เบื้องต้น
https://www.youtube.com/watch?v=FuDMQaUKXuQ


investment 103 Technical Analysis เบื้องต้น
https://www.youtube.com/watch?v=FuDMQaUKXuQ


วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตอนที่ 16 : หุ้นตัวแรกที่ผมซื้อ ??

ผมเริ่มต้นซื้อหุ้นจาก...

เงินก้อนแรกที่ผมเริ่มลงทุนนั่นคือเงินจำนวน 5,000 บาท ซึ่งผมมั่นใจว่ามันเป็นเงินเย็นแน่ๆ 

จริงๆแล้วเงิน 5,000 บาทนี้ผมค่อนข้างภูมิใจมากนะ เพราะมันมาจากการขายไอเทมในเกม!!

อ่าวๆๆ เล่นเกมแล้วขายเงินจริงนี่หว่า  (ไหนเอ็งบอกว่าอยู่สายสีขาวตลอดไง ทำไมเอ็งเจือกไปขายไอเทมในเกมวะๆๆ)

อ๊ะๆ ใจเย็นๆครับ เงิน 5,000 บาทในตอนนั้นผมได้มาจากการขายไอเทมเกมนึงซึ่งเขาเปิดให้สามารถซื้อ-ขายเงินจริงกันได้อย่างเสรี นั่นคือ Real Money Auction House ของเกม Diablo 3 ครับ (ตอนนี้ระบบนั้นปิดไปแล้ว เนื่องจากทาง Blizzard ค่ายเกมบอกว่า มันทำให้คนไม่พยายามเลย ประมาณว่ามีเงินก็เทพได้แล้ว เขาเลยตัดสินใจเอาระบบนี้ออกไป)

ผมค่อนข้างมีความภาคภูมิใจกับการได้เงินประเภทนี้มาครับ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ!! 

ซึ่งเงินก้อนนี้ผมก็ได้มาฟรีๆ ถ้ามันจะหายไปกับการลงทุนก็ช่างมันปะไร!!

กลับมาเรื่องหุ้นกันต่อ...

ผมศึกษาหาหุ้นดีที่จะเริ่มลงทุนตัวแรกอยู่ก็นาน ในที่สุดผมก็เลือกกิจการนึงครับ ที่ผมมั่นใจว่าผมอยากเป็นเจ้าของกิจการมันจริงๆ เพราะนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ได้กล่าวไว้ว่าให้ซื้อหุ้น เหมือนกับซื้อกิจการ คือซื้อเพราะเราอยากจะเป็นเจ้าของกิจการนั้นๆจริงๆ แล้วก็ถือมันยาวไปชั่วชีวิต ไม่ใช่หวังเพียงแค่การขึ้นลงของราคาและทำกำไร

ผมคิดวนอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ ว่า...
  • กิจการอะไรน้อ ที่คนต้องใช้ทุกๆวัน
  • กิจการอะไรที่อย่างน้อยอีก 10 ปี 30 ปี มันก็น่าจะยังอยู่นะ
  • กิจการอะไรที่ต่อให้วิกฤตเศรษฐกิจ คนก็ยังจำเป็นต้องใช้มัน
  • กิจการอะไรที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันของเรา
ระหว่างที่ผมคิดไปคิดมา ผมก็ได้ยินเสียงประกาศ "สถานีต่อไป อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ..."

อ้อ....กิจการนี้อยู่ไม่ไกลจากตัวผมตอนนั้นเลย

BTS คือคำตอบ!!


ผมอยากเป็นเจ้าของ BTS เพราะ...
  • ผมคิดว่า มันต้องอยู่ได้อีก 10 ปี หรือ 30 ปี ยังไงคนก็น่าจะยังต้องใช้ BTS
  • คนแน่นตลอด วันนั้นที่ผมขึ้น คนก็แน่น
  • พนักงานออฟฟิตหนุ่มสาว ใช้ BTS แน่นอน เพราะมันจำกัดเวลาได้!!
  • มีคอนโดเกิดขึ้นรอบๆ BTS มากมายในช่วงนั้น
  • ราคามันแพงจังเลย (แต่คนก็ยังขึ้น) และดูเหมือนมันจะขึ้นราคาได้ไม่ยากด้วย (สมัยที่ผมซื้อ ตัวเลขยังลงท้ายด้วย 5 และ 0 ตอนนี้ปรับราคาขึ้นมาและมีลงท้ายด้วย 2 แทน สถานีไกลสุดคือ 52 บาท จากเดิม 40 บาท)
แล้วผมจะรออะไรล่ะ!!

จัดเลยสิ BTS เต็มพอร์ต 500 หน่วย เป็นเงิน 4,000 บาท พอดี (พอดีตรงไหน เหลือ 1,000 บาทสิ!!)

และแล้วผมก็จัด BTS มา 500 หน่วย รวมค่าคอมมิชชั่นนิดหน่อย เลยเป็น 4,000 กว่าบาท

พอร์ตแรกของผมเปิดกับกสิกรไทย เลยโดนค่าธรรมเนียมอีก 50 บาทด้วย T^T

ผมไม่ได้บอกว่ากสิกรไทยไม่ดีนะครับ เพียงแต่ว่าผมมารู้ทีหลังว่า หลักทรัพย์บัวหลวง นั้นไม่เสียค่าธรรมเนียมตรงนี้

หลังจากนั้นมาผมก็เลยเลิกเทรดพอร์ตกสิกรไทยอีกเลย... เพราะผมเสียดาย 50 บาทต่อวันที่ทำการเทรดครับ

หลายๆคนอาจจะคิดว่ามันน้อยนะ แต่เงินผมน้อยครับ ผมก็เลยค่อนข้างห่วงเรื่องนี้อย่างน้อยก็ค่าข้าว 1 มื้อล่ะนะ อิอิ

หลังจากนั้นผ่านมา 2 ปี

กิจการตัวแรกที่ผมเลือกเองก็ยังคงสร้างกำไรอย่างต่อเนื่องและปันผลที่ดี รวมถึงราคาหุ้นที่ขยับจาก 8 บาท ไปยัง 10.xx บาท แม้ว่าตอนนี้จะเหลือ 9.6x ก็ตาม แต่ไม่เป็นไร ผมคิดว่ามันยังคงเติบโตได้ดีเรื่อยๆ  และผมก็ยังคงถือมันต่อไปเรื่อย...

ผมจะยังคงถือมันไว้ ตราบใดที่ผมเข้าไปทำธุระในเมืองแล้วต้องไปเบียดเสียดคนบน BTS 

นี่คือหุ้นตัวแรกของผมครับ...

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตอนที่ 15 : ถ้าไม่เข้าใจหุ้น ลงทุนในกองทุนดีกว่า

เริ่มต้นลงทุนในกองทุน ไม่ยาก


อย่างที่ผมได้เคยบอกไปในหลายๆตอนที่ผ่านมานะครับ ผมเน้นย้ำเสมอว่าการลงทุนมันมี 3 ตัวแปร ที่สำคัญมากๆนั่นก็คือ
  • เงินทุน
  • ผลตอบแทน
  • ระยะเวลา
และที่สำคัญเราควรจะเป็นนักลงทุนระยะยาว เพราะถ้าในระยะยาวไม่ว่าจะเป็นกองทุนหรือหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีเสมอ (ประมาณ 10-13% ต่อปี)

สำหรับตัวอย่างที่ผมยกมาก็คือกองทุนเปิด KFSDIV หรือ กรุงศรีหุ้นปันผลของธนาคารกรุงศรีนะครับ

ถ้าเราสังเกตดูประวัติการจ่ายปันผล จะพบว่ากองทุนนี้เริ่มจ่ายตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปีล่าสุดคือปี 2558 ซึ่งรวมแล้ว 12.85 บาท และที่สำคัญราคาตอนนี้คือ 12.71 บาทเท่านั้นเอง

แปลว่าถ้าเราซื้อกองทุนนี้มาตั้งแต่ปี 2551 เราก็ได้ทุนคืนแล้วครับ 

เพราะว่าราคาเฉลี่ยปี 2551 คือ 9.14 บาท ครับ ปันผลรวม 12.85 บาท นั่นหมายถึงเรากำไรไปแล้ว 3.71 บาท หรือคิดเป็น 140.6% เลยครับ

แต่เราไม่สามารถย้อนกลับไปซื้อกองทุนในปี 2551 ได้ ซึ่งผมเองก็ได้วิเคราะห์กองทุนตัวนี้แล้ว

และพบว่ามันให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 13.21% ต่อปีครับ

แปลว่าเราซื้อวันนี้ มันจะคืนทุนใน 7.57 ปีครับ

สำหรับปีที่เหลือเราก็ไม่ต้องทำอะไรกับเงินทุนของเราเลยครับเพียงแต่ปล่อยให้มันทำหน้าที่เป็นเครื่องผลิตเงินให้เราต่อไปเรื่อยๆเท่านั้นเองครับ

ถ้าเรามองในมุมมองของคนที่ต้องการอิสรภาพทางการเงิน (อยู่เฉยๆก็ได้เงินจากปันผลเลี้ยงเราไปตลอดชีวิต)

สมมติว่าเรามีเงินทุน 2 ล้านบาท ลงทุนในกองทุนนี้ เราจะได้ปันผลต่อปีคือ

2,000,000*13.21% = 264,200 ต่อปี หรือคิดเป็น 22,016 บาทต่อเดือนครับ

ถ้าใครใช้เงินไม่เกิน 22,016 บาทต่อเดือนก็นับว่า เราสามารถสร้างอิสรภาพทางการเงิน ด้วยเงินเพียง 2 ล้านบาท ได้แล้วนั่นเอง

เห็นไหมว่าอิสรภาพทางการเงินของเรา ราคาถูกกว่าการซื้อเบนซ์หรือมินิ 1 คันซะอีกนะ อิอิ

สิ่งสำคัญนะครับ

รวยง่ายๆ รวยเร็วๆนั้นไม่มีจริงครับ

แต่รวยนานๆ รวยโคตรๆ อันนี้มีจริง จากการที่เราลงทุนแล้วก็ถือมันไปนานๆนั่นเองครับ

โชคดีครับ!


ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wealthmagik.com/FundInfo/FundPerformance-0C00001L0D-EQF-F000000ROP-KFSDIV-%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตอนที่ 14 : กิจการที่ดี Vs กิจการที่แย่

มีกิจการแย่ๆบ้างไหม ?

ที่ผ่านๆมา ผมค่อนข้างเขียนถึงข้อดีของการลงทุน 
ซึ่งจริงๆการลงทุนมันก็ดีทั้งนั้นแหละ (เอ๊ะยังไง ?)

อ้าวแล้วทำไมบางคนลงทุนในหุ้นแล้วถึงเจ๊งหรือหมดตัวล่ะ ?

ผมขออธิบายในฐานะมือสมัครเล่นเท่าที่เข้าใจให้ฟังนะครับ

การลงทุนมันดีจริง เริ่มก่อนมีสิทธิ์ก่อน 
เพราะตัวแปรหนึ่งที่สำคัญก็คือเวลา ผมจึงอยากให้ทุกคน "ลงทุน"

ประเด็นคือ "เวลา" เมื่อมันผ่านไปแล้วเราไม่สามารถเอามันกลับมาได้

การลงทุนในบริษัทที่ดี (เติบโตอย่างน้อย 15%) เมื่อเวลาผ่านไปบริษัทก็จะเติบโต
ตามผลประกอบการ ของบริษัทนั้นๆ

แต่กรณีที่บริษัทมันแย่ เวลาที่ผ่านไปก็จะ "ทำร้าย" เงินลงทุนของเราได้เช่นกัน

สิ่งที่สำคัญที่ผมย้ำมาตลอดก็คือ ลงทุนในบริษัทที่ดี และ ถือมันไปตราบนานเท่านาน

เราอาจจะเห็นราคาหุ้นเด้งจาก 1 บาท กลายเป็นราคา 100 บาท ก็ได้ ในกิจการที่ดี

สำหรับกิจการที่แย่ เราก็อาจจะเห็นหุ้นราคา 1 บาท เด้งลงกลายเป็นราคา 0.01 บาท ก็ได้เช่นกัน

ดังนั้นความรู้ความเข้าใจจำเป็นต้องมี

ความรู้ที่ว่าอย่าเพิ่งไปคิดว่ามันยาก เพียงแต่เราต้องหัดอ่านและสังเกตให้ดีๆ

Checklist ที่ควรจะต้องสนใจและศึกษาที่ผมใช้ก็มีดังนี้
  • กิจการหรือบริษัทที่เราซื้อ เทรนมันเป็นอย่างไร อนาคตยังจะต้องใช้ไหม
  • งบการเงิน ผลกำไร ของบริษัทเป็นยังไง เติบโตอย่างต่อเนื่องมั้ย ถ้าไม่ เราก็ต้องไปเจาะลึกดูว่าเพราะอะไร
  • ช่วงวิกฤตมันจะยังรอดมั้ย บริษัทมีความสามารถที่จะกลับมาได้รึเปล่า (ตรงนี้จะได้หุ้นราคาถูก ถ้ากล้าซื้อนะ 555+)

ทีนี้เราลองมาดูกรณีศึกษาของหุ้นจริงๆกันบ้าง

หุ้นที่ว่านั่นคือบริษัท Apple และ Blackberry กันบ้าง 

โดยพิจารณากราฟราคา ระหว่างทั้งสอง



ผมรู้ว่าทุกคนต่างก็รู้ว่า ประมาณ 5 ปีก่อน คนรู้จัก Blackberry เยอะ

เพราะหนุ่มสาวต่างก็ใช้ BB ในการขอพิน ในการคุยกัน แต่สุดท้าย Apple 

ก็มาเอาชนะด้วย iphone ipad iต่างๆ นานา เป็นต้น

Apple สามารถแย่งส่วนแบ่งการตลาดไปได้และทิ้งห่างคู่แข่งอย่าง BB เรียกได้ว่าชนะขาด

และ BB ก็ไม่สามารถกลับมาได้อีกเลย 

ถ้าเราดูตามกราฟ ราคาของ Apple เป็นลักษณะของเทรนขาขึ้น (ก็เพราะคนซื้อใช้เยอะขึ้น นิยมขึ้น)

ส่วนเทรนของ BB ก็สวนทางในปีที่มันแย่อย่างชัดเจน... และยังคงแย่ต่อไปเรื่อยๆ

มันก็ดูกันแค่ประมาณนี้แหละครับ

สำหรับหุ้นไทยและประสบการณ์ตรงของผมก็เคยเจอกิจการที่เคยดี กลายเป็นแย่... และเป็นหุ้นในอุตสาหกรรมที่ผมรู้จักดีครับ

ผมชั่งใจที่จะเขียนอยู่นานครับ แต่ผมว่าผมเขียนดีกว่าเพื่อเป็นประสบการณ์ไม่ให้คนอื่นมาผิดพลาดเหมือนผมอีก ซึ่งผมจะให้ดูเฉพาะงบการเงินของบริษัทนั้น แต่ไม่ขอเอ่ยชื่อหุ้นนะครับ 




ถ้าเราสังเกตดูจะพบว่าช่วงปี 54 นั้นบริษัทเติบโตได้ดีอย่างมาก ไปจนถึงปี 55 (ราคาเติบโตขึ้น จาก 12.20 บาท ไป 14.60 บาท) และสุดท้ายเมื่อเข้าสู่ปี 56 งบการเงินของบริษัทนั้นแย่ลง ROA,ROE และ กำไรลดลง เมื่อเราดูให้ชัดอีกที ปี 57  (ราคาตกลงจาก 8.80 บาท เหลือ 3.80 บาท)เราจะพบว่า ROA ,ROE และ กำไรนั้น ติดลบ แต่ยังคงมีการจ่ายปันผลอยู่ (เป็นไปได้ไง เอาตังค์ที่ไหนมาจ่าย ?)

สำหรับหุ้นตัวนี้สำหรับผมเองก็ขอวิเคราะห์ว่าเพราะว่าเป็นบริษัทขนาดใหญ่ และพื้นฐานการบริโภคของลูกค้านั้นเปลี่ยนไปจึงทำให้เข้าข่ายว่าพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนไป เป็นหุ้นที่ต้องเฝ้าระวังและหากคิดว่ากิจการหรือบริษัทเหล่านี้ไม่สามารถกลับมาเป็นผู้นำด้านธุรกิจได้อีกต่อไป ทางออกเดียวคือ ต้องยอมขายทิ้งทุกราคา โดยไม่ต้องรอให้ราคาหุ้นเหลือ 0.01 บาทครับ สำหรับผมเอง ก็ได้ขายหุ้นนี้ทิ้งไปแล้วขณะที่ขาดทุนช่วงนั้นประมาณ 60% ครับ (แต่โชคดีที่ผมซื้อไว้ขำๆเพียง 100 หน่วยเท่านั้น ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากคนรอบตัวผมครับ ซึ่งมันก็เป็นจริงตามนั้น และบทเรียนครั้งนี้ผมก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากครับ 555+)

สรุปสุดท้ายคือ ต้องมองเทรนของบริษัทหรืออุตสาหกรรมนั้นๆให้ออกว่าอนาคตจะเป็นยังไง 10 ปี 50 ปี มันจะยังอยู่มั้ย แล้วจะมีอะไรที่จะทำให้เปลี่ยนแปลงให้ลูกค้านั้นหนีจากบริษัทที่เราถืออยู่ไปใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทอื่น ไม่งั้นยิ่งลงทุนยิ่งเจ๊งแน่นอนครับ 

ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ

ตอนที่ 13 : เงินปันผล 16% เฮ้ย มีจริงดิ !!


เงินปันผล 16% มีจริงดิ ?

ผมก็เคยสงสัยนะว่าการถือหุ้นระยะยาว เอาจริงๆแล้วขอแค่ได้เงินปันผลปีละ 3-5% นี่ก็ถือว่าโอเคแล้วนะเพราะว่าสุดท้ายเงิน 3-5% เมื่อเรานับมาลงทุนต่อ มันก็จะกลายเป็นเงินต้นที่ถูกรวมไปปันผลในปีหน้าๆอีก 3-5% ทบต้นไปเรื่อยๆ สำหรับผมแล้วก็ยังคงตามคอนเซปต์เดิมอย่างที่เคยพูดไว้ตลอดคือนักลงทุนระยะยาว ต้องหาหุ้นที่ดี แล้วอดทนถือมันไปตลอด

วันนี้ผมขอพูดถึงกรณีศึกษากับหุ้นของผมเอง นั่นก็คือ JAS ผมซื้อเมื่อช่วงกลางปี 2556 ในราคาประมาณ 8 บาท หุ้นตัวนี้ผมซื้อไม่ทันช่วงปันผลเดือนมีนาคมปี 2556 เลยไม่ได้ปันผล 0.09 บาท ณ ตอนนั้น หลังจากนั้นมาก็ผ่านปี 2557 ซึ่งเงินปันผลที่บริษัทจ่ายออกมาก็คือ 0.25 บาท/หุ้น ถ้าคิดเป็น % ก็คือผมลงทุน 8 บาท ได้ปันผล 0.25 บาท มันคือ 0.25/8*100 = 3.125% และปีนี้ ผมจะได้เงินปันผลอีก 1.5 บาทต่อหุ้น นั่นก็คือ 1.5/8*100 =  18.75%  ถ้ารวม 2 ปีที่ผมถือมาก็คือจะได้ 21.875% เลยทีเดียวนั่นแปลว่าถ้า JAS ยังคงเป็นอย่างนี้ต่อไป ผมจะคืนทุนภายในระยะเวลาประมาณ 6-8 ปีเท่านั้น!! และหลังจากนั้นผมจะสามารถถือ JAS ต่อไปได้โดยสร้างกำไรให้ผมตลอดกาล (ถ้าบริษัทมันไม่เจ๊งนะ 555+)

สำหรับพื้นฐานของกิจการ 4 ปีย้อนหลังขอวิเคราะห์ดังนี้
  • ROA/ROE เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
  • กำไรต่อหุ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ
  • มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • เงินปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอน ราคาหุ้นมันก็จะพุ่งไปเรื่อยๆ (ผมซื้อตอน 8 บาท ตอนนี้ 8.95 บาท ราคาเพิ่มขึ้น 11.87% ใน 2 ปี อิอิ) อย่างที่ผมได้เคยบอกไปเมื่อเราได้ซื้อกิจการที่ดี เราไม่จำเป็นต้องขายมันออกไป ตามความเชื่อของคนส่วนใหญ่ก็คือ ตลาดหุ้น เราต้องซื้อๆขายๆมัน ซึ่งสุดท้ายแล้ววอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่มั่งคั่งที่สุดของการเข้าสู่ตลาดหุ้น ก็คือ "การลงทุนในหุ้น" นั่นเอง การลงทุนในหุ้นก็คือการซื้อหุ้นให้เหมือนกับซื้อกิจการ ซื้อแล้วก็ไม่ขายมันอีกเลย จนกว่ากิจการหรือบริษัทนั้นจะแย่ หรือมีการลงทุนอื่นๆที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

สำหรับ JAS ผมก็ถือมาโดยตลอด ซึ่งในระหว่าง 2 ปีนี้ก็มีวิกฤตที่ทำให้ราคาของ JAS นั้นลดลงอยู่ในช่วง 5 บาท (JAS ใน Port ผมตอนนั้น -37.5%) ทำให้เพื่อนผมบางคนขาย JAS ไปหมดพอร์ต  และก็ไม่ยุ่งกับมันอีก แต่สำหรับผม ผมไปเดินเล่นในห้างก็ยังพบว่า JAS นั้นก็ยังทำธุรกิจ ยังมีลูกค้ายังมีกิจการอยู่ ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่น่าจะใช่ปัญหาระยะยาวที่จะทำให้บริษัทเจ๊ง เมื่อผมวิเคราะห์ดังนั้นแล้ว ผมก็ถือมันต่อไป

สำหรับนักลงทุนระยะยาว ถ้าหากเรามั่นใจว่าบริษัทที่เราลงทุนมันสามารถกลับมาได้ ตรงนี้คือจังหวะการลงทุนที่ดี เหมือนกับการได้สินค้าราคาถูกนั่นเอง

เอาล่ะมาลองดูว่า ถ้าเกิดเราซื้อ JAS ตอน 5 บาท เราจะได้อะไรบ้าง ?

1.ส่วนต่างของราคา  JAS วันนี้ราคา 8.95 บาท ถ้าคิดก็คือเติบโตขึ้น 79% ของราคา 5 บาทในช่วงวิกฤต
2.เงินปันผล ถ้าหากเราลงทุนตอนที่ JAS ราคา 5 บาทเราจะได้เงินปันผลทั้งหมด = 0.25+1.5 = 1.75 หรือคิดเป็น 1.75/5 * 100 = 35% เลยทีเดียว 

ซึ่งเราสามารถดูได้จากข้อมูลสิทธิประโยชน์ของ JAS นั่นเอง
http://www.set.or.th/set/companyrights.do?symbol=JAS&language=th&country=TH




หลายคนอาจจะมองว่า เฮ้ย แล้วจะไปซื้อตอนไหนล่ะ เมื่อไหร่มันจะกลับมา 5 บาทอีก 

ผมขอบอกว่า ก็รอวิกฤตไง 

อย่าลืมว่าวิกฤตก็ยังคงเป็นวิกฤตอยู่เหมือนเดิม 

แต่วิกฤตจะกลายเป็นโอกาสก็ต่อเมื่อ เราเตรียมพร้อมที่จะเผชิญมัน!!

หรือถ้าหากเรามั่นใจว่า JAS จะยังคงไปได้อีก ณ ราคา 8.95 บาท กับ % ปันผลในครั้งนี้คือ 1.5 บาท

คิดเป็น 1.5/8.95*100 = 16.75% 

เราก็สามารถที่จะเลือกตัดสินใจซื้อกิจการ หรือรอเก็บช่วงโปรโมชั่น (วิกฤตและข่าวร้าย)

ก็ได้ตามแต่ที่เราต้องการ

การเล่นหุ้นมีความเสี่ยง แต่ถ้าเราเปลี่ยนการเล่นเป็นการลงทุน 

ผลลัพธ์ที่ได้ มันก็จะต่างออกไป...โชคดีครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตอนที่ 12 : เริ่มต้นลงทุนในหุ้นกันเถอะ


ก่อนที่จะเริ่มต้นลงทุนเราต้องปรับความเข้าใจกันนิดนึงก่อนนะครับ
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของผมเวลาพูดถึงเรื่องหุ้น คนมักจะมองว่า
เฮ้ย!! 
  • ต้องมีเวลาจ้องหน้าจอตลอดเวลา 
  • ต้องเก่งเรื่องตัวเลขมากๆ 
  • ต้องดูหุ้นทุกวัน 
  • หุ้นตกคือเราลงทุนผิด
  • หุ้นขึ้นคือเราลงทุนถูก
  • มันเป็นเรื่องน่าปวดหัว
ซึ่งผมจะบอกว่า ความเชื่อเหล่านี้มันถูกครึ่งนึงเพราะว่าจริงๆแล้ว เราจะดูจอทุกวัน จะดูหุ้นทุกวัน หรือไม่มันก็แล้วแต่ครับว่าเราเลือกที่จะลงทุนแบบไหน ถ้าเราเข้าใจว่าการลงทุนแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร การลงทุนในหุ้นจากที่เรามองว่ามันเป็นเรื่องที่ยากและปวดหัว เราจะมองมันเป็นเรื่องที่ง่ายมากๆได้เลยล่ะครับ

การลงทุนในหุ้นนั้นถูกแบ่งเป็น 2 ประเภท

แบ่งได้ดังนี้
  • การลงทุนระยะสั้น
  • การลงทุนระยะยาว
ในส่วนนี้เราต้องแยกให้ออก ว่าเราเหมาะกับการลงทุนแบบไหน ซึ่งแต่ละแบบนั้นก็มีข้อดี ข้อเสียต่างกันแต่สำหรับผมแล้ว อยากให้ลองทั้ง 2 แบบ ทั้งลงทุนระยะสั้นและลงทุนระยะยาว 

แต่ขอให้แบ่งเงิน 70-80% ไว้ในการลงทุนระยะยาว และแบ่งเงิน  20-30% ไว้ในการลงทุนระยะสั้นครับ ในส่วนนี้ผมจะบอกให้ฟังอีกทีในภายหลังถึงเหตุผลของการแบ่งพอร์ตการลงทุนแบบนี้อีกครั้งนึงครับ ซึ่งเราต้องเข้าใจก่อนว่าการลงทุนแต่ละแบบนั้นแตกต่างกันอย่างไร

การลงทุนระยะสั้น

  • ทำกำไรจากส่วนต่างของราคา (ซื้อถูก ขายแพง)
  • สามารถซื้อเช้า ขายบ่าย ซื้อบ่าย ขายเย็น ได้ตามแต่ราคาหุ้นที่วิ่งในแต่ละวัน
  • ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา
  • ไม่ต้องสนใจพื้นฐานของกิจการ
  • เป็นการหารายได้แบบ Active Income เพราะเราต้องซื้อขาย ต้องตามเป็นรายวัน รายสัปดาห์
  • ต้องรู้จัก Stop Loss หรือการตัดขาดทุน กรณีที่หุ้นมันไม่ได้เป็นไปตามที่เราหวัง
  • ทักษะที่จำเป็นต้องมีสำหรับสายนี้คือ Technical Analysis (ไว้ผมจะเขียนอธิบายในตอนถัดๆไป)
  • เรียกว่าสายนี้ว่านักเล่นหุ้นหรือนักเก็งกำไร

การลงทุนระยะยาว

  • ราคาหุ้นเติบโตตามพื้นฐานของบริษัท บริษัทที่ดี เมื่อเวลาผ่านไป ราคาก็จะสูงขึ้นตามซึ่งจะทำให้เงินที่เราลงทุนไปก็จะเติบโตตามราคาหุ้น และทุกๆปีก็จะได้เงินปันผลเข้าบัญชีของเราเรือยๆ
  • ซื้อเมื่อบริษัทเหล่านั้นมีปัญหา หรืออยู่ในวิกฤต โดยเราต้องแน่ใจว่าบริษัทนั้นสามารถกลับมาได้ โดยพื้นฐานของบริษัทนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
  • ขายเมื่อ พื้นฐานของบริษัทนั้นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง หรือมีบริษัทอื่นที่เป็นคู่แข่งทำกำไรได้เหนือกว่า
  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอตลอด ซื้อแล้วลืมได้เลย
  • ต้องตรวจสอบพื้นฐานของกิจการ ต้องอ่านงบการเงิน และ วิเคราะห์บริษัทเป็น 
  • ต้องเปรียบเทียบผลประกอบการในแต่ละปี ในแต่ละไตรมาส ว่ามีแนวโน้มเป็นอย่างไร
  • เป็นการหารายได้แบบ Passive Income โดยลงทุนซื้อหุ้นเหมือนซื้อกิจการ และรอรับเงินปันผลจากผลกำไรของบริษัท
  • ทักษะที่จำเป็นต้องมีสำหรับสายนี้คือ Fundamental Analysis (ไว้ผมเขียนอธิบายในตอนถัดๆไปเช่นกัน)
  • รวยช้า แต่รวยมาก
  • เรียกสายนี้ว่านักลงทุนในหุ้น
สำหรับผมแล้วผมยังคงเชียร์ให้พยายามนำเงินส่วนใหญ่มาลงทุนระยะยาว เพราะว่า ในชีวิตคนเราควรจะทุ่มเทเวลาให้กับเรื่องที่ตัวเองชอบหรือเรื่องที่ตัวเราเองนั้นต้องทำ ส่วนเรื่องการลงทุนนั้นก็ปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของการใช้เงินทำงานเพื่อสร้างผลตอบแทนให้เราจะดีกว่าครับ

ตอนที่ 11 : เปิดบัญชีหุ้นยังไง ?

เปิดบัญชีหุ้น ไม่ยากอย่างที่คิด

เชื่อไหมว่าการเปิดบัญชีหุ้นนั้นไม่ต้องใช้เงินเลยแม้แต่บาทเดียว โดยเราไปที่ธนาคารในวันทำการ จันทร์-ศุกร์ ก่อนเวลา 15.30 น. นะครับ และบอกเขาว่าขอเปิดบัญชีหลักทรัพย์ครับ จากนั้นเราก็เตรียมเอกสารเพียงแค่ 3 อย่างดังนี้ครับ
  • บัตรประจำตัวประชาชน
  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • สมุดบัญชีออมทรัพย์ (ถ้ายังไม่มีต้องเสียเงินประมาณ 300-500 เพื่อเปิดบัญชีนี้ครับ)
  • ควรมี internet banking ของธนาคารนั้นด้วย (แนะนำธนาคารกรุงเทพครับ)
สำหรับผมมี 2 บัญชีหุ้นครับ หลายคนอาจจะคิดว่า เฮ้ย มีท่ายากอีกละ ไปเปิด 2 บัญชี

จริงๆแล้วไม่ใช่อย่างนั้นครับ บัญชีแรกผมไปเปิดของกสิกร ซึ่งต้องเสียค่าธรรมเนียมขั้นต่ำต่อวัน 50 บาท ในวันนั้นที่เราซื้อขายหุ้นครับ แรกๆก็ช่างมันครับ พอหลังๆเริ่มงก เลยเปลี่ยนไปเปิดบัญชีหลักทรัพย์ของธนาคารกรุงเทพ ที่ไม่มีค่าธรรมเนียมตรงนี้ดีกว่าครับ

ลองดูรายละเอียดค่าธรรมเนียมตาม link นี้นะครับ

กสิกรไทย

http://www.kasikornsecurities.com/TH/OpenAccount/AccountTypes/StockInvestment/CommissionFee/Pages/CommissionFee.aspx

กรุงเทพ (บัวหลวง)

http://itrading.bualuang.co.th/%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C_%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2

สำหรับผมแนะนำให้เปิดบัญชีกับธนาคารกรุงเทพนะครับ ซึ่งจะเรียกว่าหลักทรัพย์บัวหลวง เพื่อไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมดังกล่าวครับ (ตรงนี้ไม่ได้โฆษณานะครับ แต่ผมลองแล้วมันเวิร์คกว่ากสิกรตรงไม่เสียค่าธรรมเนียมนี่แหละครับ)

การเปิดบัญชี แนะนำให้เปิดเป็นบัญชีแบบ cash balance นะครับ หมายถึงว่าเรามีเงินเท่าไหร่ ก็สามารถซื้อหุ้นได้เท่านั้นครับ เพื่อจำกัดความเสียหายของพอร์ตของเราครับ

หลังจากนั้นต้องเซ็นเอกสารกองยักษ์ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที แล้วแต่ความเร็วในการเขียนของเรานะครับ ขอบอกว่าเยอะมาก แต่ว่าเขียนแค่ครั้งเดียวก็พอครับ

เมื่อเตรียมเอกสารเสร็จ ก็ส่งเจ้าหน้าที่ครับ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะส่งไปยังหลักทรัพย์บัวหลวงเพื่อพิจารณาเอกสารของเรา ตรงนี้ใช้เวลาประมาณ 2-3 อาทิตย์ครับ และเจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับมาว่าเราเปิดบัญชีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว หรือบัญชีเรามีปัญหาอะไร ซึ่งหากเรียบร้อยดีเราจะได้ username และ password มาครับ (แนะนำให้เขาส่งมาให้ทาง email ครับ)

หลังจากที่บัญชีเราได้รับการอนุมัติแล้ว เราก็เข้าไปเปลี่ยน password
ในเว็บ http://www.bualuang.co.th/th/index.php ได้เลยครับ

จากนั้นเราก็จะถือว่าเป็นนักลงทุนที่สามารถที่จะซื้อขายหุ้นได้แล้วครับ 

โดยวิธีที่เราจะซื้อหุ้นได้นั้นเราต้องโอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์ เข้าไปยังบัญชีหลักทรัพย์ก่อน
ในส่วนนี้ภายใน email ที่ตอบกลับมา เขาจะมีวิธีการเขียนบอกอยู่แล้วครับ ซึ่งตรงนี้ผมจะไม่ลงรายละเอียดนะครับ

เมื่อเราโอนเงินเข้าไปแล้ว จำนวนเงินที่เราสามารถซื้อหุ้นได้จะอยู่ใน Portfolio -> Line Available ครับ
หลังจากนั้นเราก็สามารถที่จะเลือกเป็นเจ้าของบริษัทหุ้นที่เราต้องการซื้อได้เลยครับ แต่มีข้อแม้คือในการซื้อหุ้นใดๆเราต้องซื้อขั้นต่ำ 100 หน่วยครับ

เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการเปิดบัญชีและเตรียมความพร้อมในการซื้อหุ้นแล้วครับ

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตอนที่ 10 : ทำความเข้าใจเกี่ยวกับหุ้น (2)


เล่นหุ้นยังไงให้ไม่เจ๊ง ?

อย่าเพิ่งคิดไปไกลว่ามันต้องมีท่ายากเยอะ หรือต้องเก่งอัจฉริยะขั้นเทพ ถึงจะเล่นหุ้นแล้วรวยได้

ผมขอตอบว่า "ไม่จำเป็น"

แล้วอะไรล่ะ ที่จะทำให้คนเล่นหุ้นแล้วรวย

อันดับแรก ต้องลืมคำว่า "เล่นหุ้น" ออกไปก่อน แล้วเปลี่ยนเป็น "ลงทุนในหุ้น" แทน

ซื้อหุ้นให้เหมือนกับเราเข้าซื้อกิจการ
ซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสม หรือต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการนั้น
ซื้อหุ้นในกิจการที่เจ๋ง ทำกำไรเหนือคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ซื้อหุ้นที่กิจการนั้นอยู่มานาน และมั่นใจว่ามันจะยังคงอยู่ต่อไป
ซื้อหุ้นในกิจการที่ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ มนุษย์ก็ยังคงต้องการมัน

และสุดท้าย เคล็ดลับสุดยอดวิชาของการทำกำไรนั่นก็คือ "การไม่ทำอะไรเลย" ถ้ากิจการนั้นๆไม่เปลี่ยนแปลงอะไร หรือมีกิจการในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันที่โดดเด่นกว่า

เราจะรวยจากการลงทุนในหุ้นได้ โดยมีเคล็ดลับคือ "การไม่ทำอะไรเลย"

เชื่อว่าบางคนคาดไม่ถึง

สุดท้ายที่เขียนมานี่จะบอกว่า การไม่ทำอะไรเลย นี่คือสุดยอดเคล็ดลับวิชางั้นหรือ

อย่างที่ผมบอกไป ถ้าเราคัดเลือกหุ้นที่ดีเข้ามาแล้วล่ะก็ ที่เหลือ ปล่อยให้มันเป็นไปตามกาลเวลา

ในปีหนึ่งๆ ถ้าบริษัทที่ดีจะสามารถทำกำไรได้ 10-15% ต่อปี หรือมากกว่านั้น

แน่นอนว่า สิ่งที่ตามมาคือราคาหุ้น และ เงินปันผลที่มากขึ้นเรื่อยๆ

สมมติว่าถ้าเรามีกิจการหนึ่ง ที่สามารถทำกำไรให้เราได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี

เราจะยังอยากจะขายมันอยู่ไหม แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลใดๆที่จะต้องขาย

และนี่เองคือที่มาของหุ้น 5 เด้ง 10 เด้ง 20 เด้ง หรือ 100 เด้ง

หุ้นบางตัวเข้าตลาดในราคา 1 บาท 

และมีการทำกำไรต่อเนื่องในทุกๆปี

เกิดความต้องการซื้อหุ้นในราคาสูงขึ้น เกิดการปรับฐาน เกิดเป็นวัฎจักร การขึ้นลงของราคา

สุดท้ายแล้วราคาก็จะพุ่งขึ้น 100,200,400 บาทก็มี

ซึ่งมันก็เพิ่มมูลค่าไปตามกำไรที่บริษัททำได้ เกิดเป็นหุ้น 100 เด้ง 200 เด้ง

แปลว่าเงินที่เราลงทุนก็เติบโตขึ้น 100 เท่า 200 เท่า ง่ายๆแบบนี้เลย เพียงแค่ต้องใช้เวลา

ดังนั้นเมื่อเจอหุ้นที่ราคาถูกในกิจการที่ดีมากๆๆๆ สิ่งที่เราต้องทำคือ ซื้อไว้และ ไม่ทำอะไรเลย

จนกว่าพื้นฐานของมันจะเปลี่ยนไป และที่สำคัญที่อยากจะเน้นย้ำว่า 

สิ่งที่จะสร้างเงินได้มากๆนั้นไม่ใช่การซื้อขายบ่อยๆ หรือไปนั่งจ้องกระดานทั้งวัน

แต่เป็นการถือหุ้นระยะยาว ที่เรานั้นไม่ต้องทำอะไรเลย 

เพียงแค่รอมันเติบโตขึ้นตามผลการดำเนินการของกิจการนั้นๆ นั่นเอง

นี่คือเคล็ดลับวิชาการลงทุน ที่จะทำให้เราเป็นผู้ชนะในตลาดหุ้น

รวยง่ายๆ รวยเร็ว เจ๊งแน่นอน

แต่ถ้า กว่าจะรวยนี่นานมาก แต่รวยนานๆ อันนี้มีแน่นอนครับ

ตอนที่ 9 : ทำความเข้าใจเกี่ยวกับหุ้น (1)

หลายคนมองว่า...

  • หุ้นเป็นเรื่องของตัวเลข
  • หุ้นเป็นเรื่องเครียด หนักสมอง
  • หุ้นเป็นเรื่องของความโลภ
  • หุ้นเป็นการพนัน
  • หุ้นทำให้คนเราเจ๊งมานักต่อนัก
  • คนเล่นหุ้นนั้นต้องมีเงินเยอะๆ
  • คนเล่นหุ้นต้องจ้องหน้าจอคอมอยู่ตลอดเวลา
ข้อสรุปทั้งหมดคือ อย่าไปยุ่งกับหุ้นเลย!!

ผมเองก็ถูกปลูกฝังมาแบบนั้น !!

เอาจริงๆแล้วนะ หุ้นมันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ความเชื่อทั้งหมดที่เราถูกปลูกฝังมา มันทำให้คนเรานั้นเกิดอาการกลัวกันไปเอง และคิดกันไปเองว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ คนเล่นหุ้นเขาอยากรวย และ เขาก็เจ๊ง 

อ้าวเขียนมาถึงตรงนี้ แล้วใครไม่อยากรวยล่ะ ตลกละ !!
แน่นอน ผมก็อยาก และผมก็เชื่อว่าถ้าคุณหลงมาอ่านถึงขนาดนี้แล้วล่ะก็
ถ้าคุณไม่ชอบผม ก็แปลว่าคุณอยากรวยน่ะสิ 555+

ผมย้ำอีกครั้งนะ 

คนส่วนใหญ่กว่า 80% เข้ามาในตลาดหุ้น แล้วก็เจ๊งครับ

และคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในตลาดหุ้น ก็ไม่ใช่คนโง่...

เอาล่ะ แล้วถ้าไม่อยากเจ๊ง ต้องทำยังไงล่ะ ?

ก็แค่ไม่ทำตามคนส่วนใหญ่ที่เขาเจ๊งกันไง (โห ตอบได้กวนตีนมาก)

แล้วคนส่วนใหญ่ทำอะไรกัน แล้วทำไมเราถึงต้องไม่ทำตามคนส่วนใหญ่

ผมจะเล่าให้ฟัง...

เวลาที่คนส่วนใหญ่ "ซื้อหุ้น" เพราะมันมีข่าวดี คนก็ซื้อกัน เมื่อมีแรงซื้อมาก ราคาหุ้นก็จะแพงขึ้นๆ

แปลว่าเราซื้อหุ้นนั้นในราคาที่ค่อนข้างแพงแล้ว

เวลาที่คนส่วนใหญ่ "ขายหุ้น" ก็เพราะว่ามันมีข่าวร้าย คนก็ขายหุ้นกัน ขายรัวๆ ราคาหุ้นก็ถูกลงเรื่อยๆ

แปลว่าเราขายหุ้นนั้นในตอนที่ราคามันถูกแล้ว

ง่ายๆและฟังดูเหมือนกวนตีน แต่มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ถ้าไม่เชื่อลองเข้ามาในตลาดหุ้นแล้วจะเข้าใจ

การทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราก็จะกลายเป็นคนส่วนใหญ่ในตลาดและสุดท้ายต้องด่าตลาดหุ้นและออกจากตลาดพร้อมกับสอนลูกหลานว่าถ้าไม่อยากหมดตัวก็อย่ามายุ่งกับตลาดหุ้นอีก

ผมมีเพื่อนคนนึง เขาบอกกับผมว่า "เฮ้ย เพื่อนกูเล่นหุ้นมา 10 ปี ไม่เห็นมันรวยเลย"

ผมฟังและตอบว่า "อืม ไม่แปลกหรอก เพราะคนส่วนใหญ่เกิน 80% เล่นแล้วเจ๊งไง"

อ้าว แล้วเราจะทำยังไงให้ไม่เป็นคนที่เจ๊งในตลาดหุ้นล่ะ ??




ตอนที่ 8 : กองทุน หรือ หุ้น ดี ?


เลือกยังไงดี ระหว่างกองทุน หรือ หุ้น

ตามที่ได้กล่าวในบทก่อนหน้านี้้ เมื่อเรามีเงินเก็บมากพอที่จะดูแลเราได้ใน 6 เดือน อยู่ในธนาคารแล้ว เราก็มาเริ่มลงทุนกันเลยดีกว่า โดยเงินที่เราจะเอามาลงทุนนั้นเรียกว่า "เงินเย็น" ซึ่งก็คือเงินที่เราไม่เอามาใช้ในชีวิตประจำวัน ให้คิดซะว่า ต่อให้เงินนี้มันสูญไป เราก็ไม่ได้เดือดร้อนนั่นเอง (ควรเป็น 10% ของเงินที่เราหาได้ในแต่ละเดือน)

สำหรับความแตกต่างระหว่างกองทุนหรือหุ้นนั้นมีค่อนข้างเยอะ

ผมจะเริ่มจากการอธิบายเกี่ยวกับกองทุนก่อน

กองทุน

กองทุนคือเงินที่เป็นกอง มารวมๆกันหลายๆคนเป็นกองทุน ในแต่ละกองทุนก็จะมีการจัดพอร์ตเพื่อนำเงินไปลงทุนให้เงินเติบโตเพื่อนำผลตอบแทนมาให้กับผู้ที่ถือหน่วยลงทุนในกองทุนนั้นๆ คนที่ลงทุนในกองทุนนั้นจะเหมือนระบบ Automatic  คือมีเงิน เดี๋ยวผู้จัดการกองทุนจัดให้ อาจจะเจ็บตัวก็ได้ขึ้นอยู่กับฝีมือในการบริหารกองทุนของผู้จัดการกองทุน

ข้อดีของการลงทุนในกองทุน

  • มีคนจัดการบริหารพอร์ตการลงทุนให้เรา พูดง่ายๆก็คือเอาตังไปซื้ออย่างเดียว เดี๋ยวผู้จัดการกองทุนเขาจะจัดการให้เราหมด
  • เราสามารถซื้อหุ้นบลูชิพ หรือหุ้นตัวใหญ่ได้ แม้ว่าเงินเราไม่ถึง เช่นการซื้อหุ้น มันมีกฎว่าต้องซื้ออย่างน้อย 100 หน่วยขึ้นไป ถ้าเราสนใจ PTT หรือ ปตท. เราต้องใช้เงินประมาณ 30,000 บาท ในการซื้อหุ้นตัวนี้  แต่สำหรับกองทุน เงินจำนวน 1,000-2,000 บาท เราก็สามารถที่จะมีส่วนร่วมในการลงทุนกับ PTT ได้แล้ว
  • ไม่ต้องเสียเวลามานั่งวิเคราะห์หุ้นรายตัว เพียงแค่เราศึกษานโยบายของกองทุนว่าลงทุนในหุ้นกลุ่มไหน เราก็ไปซือกองทุนนั้นๆ เราก็จะกลายเป็นเจ้าของหุ้นกลุ่มนั้น
  • มีการแบ่งพอร์ตการลงทุนชัดเจน เช่น ตราสารหนี้ พันธบัตร หุ้น ตาม % ต่างๆ แล้วแต่กองทุนนั้นๆ
  • กองทุนบางประเภทสามารถลดภาษีได้

ข้อเสียของการลงทุนในกองทุน

  • ไม่สามารถไปยุ่งกับการแบ่งพอร์ตของกองทุนได้
  • ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นกับบริษัทต่างๆ เพื่อไปตั้งคำถามสอบถามได้
  • ไม่สามารถขายหุ้นที่กองทุนถือได้
  • มีค่าธรรมเนียมในการซื้อขายและการดูแลจัดการกองทุน
  • กองทุนบางประเภท มีระยะเวลาในการซื้อขาย ซึ่งถ้าเราซื้อแล้วจะไม่สามารถขายได้อีกเลยประมาณ 5 ปี ตัวอย่างเช่น LTF เป็นต้น เพราะหากขายในช่วงระยะเวลาที่ยังไม่ถึงกำหนดจะทำให้สิทธิประโยชน์ในการหักภาษีจะถือเป็นโมฆะและต้องจ่ายภาษีย้อนหลัง
  • โอกาสน้อยมากที่จะทำกำไร 5 เด้ง 10 เด้ง เพราะว่าผู้จัดการกองทุนจะนำหุ้นที่กำไรขายทิ้งเพื่อมาปันผลให้กับผู้ถือหน่วยการลงทุนก่อน

หุ้น

หุ้นนั้นก็คือส่วนหนึ่งของกิจการที่เราสามารถเข้าไปซื้อได้เพื่อร่วมเป็นส่วนนึงของกิจการ คนที่ลงทุนในหุ้นนั้นจะเหมือนระบบ Manual คือซื้อเอง กำไรเอง เจ็บเอง

ข้อดีของการลงทุนในหุ้น

  • เราสามารถทำกำไรจากหุ้นได้เป็นหลายๆเท่าตัว เช่นหุ้น 5 เด้ง 10 เด้ง 100 เด้ง ซึ่งจะอธิบายเพิ่มเติมภายหลังอีกที
  • การซื้อหุ้นเหมือนซื้อกิจการ ถ้าเราชอบกิจการไหนเราก็สามารถซื้อกิจการนั้นได้เลย (ง่ายขนาดนั้นเชียว) ถูกต้องมันง่ายขนาดนั้นแหละ เพียงแค่มีเงินให้พอซื้อให้ได้ 100 หน่วยเท่านั้นก็พอ
  • มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อสอบถามปัญหาข้อสงสัยในกิจการนั้นๆ
  • ได้รับผลตอบแทนจาก ส่วนต่างของราคาและเงินปันผล ซึ่งส่วนต่างของราคานั้นจะไม่เสียภาษีอีกด้วย
  • สามารถซื้อขายได้ตามใจชอบ เพราะเราเป็นคนกำหนดพอร์ตการลงทุนเอง 

ข้อเสียของการลงทุนในหุ้น

  • ถ้าไม่มีความรู้ รับรองได้ว่าเจ๊งชัวร์ 
  • ต้องใช้จิตวิญญาณและจิตวิทยาในการลงทุนสูง เพราะตลาดหุ้นนั้นผันผวน ก่อให้เกิดความโลภและความกลัว ซึ่งในบางครั้งต้องมีการตัดขาดทุน ในบางครั้งต้องยอมถือโดยไม่ขาย ซึ่งในจุดนี้มันจะฝืนความรู้สึกอย่างมาก
  • ต้องมีเวลาอ่านงบการเงิน เพื่อติดตามดูแลกิจการที่เราเป็นเจ้าของอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งศึกษาคู่แข่งที่จะมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดกับกิจการที่เราถืออยู่
  • โอกาสเจ๊งหมดตัวจนเงินเหลือ 0 นั้นเกิดขึ้นได้

สุดท้ายแล้วทั้งหมดอยู่ที่ว่าเราถนัดการลงทุนแบบไหน ซึ่งถ้าหากลงทุนในกองทุนเราก็จะมีข้อได้เปรียบตรงที่ว่า ไม่ต้องไปใช้เวลากับมันมาก เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาศึกษา ส่วนหุ้นนั้นก็จะเหมาะกับคนที่มีเวลาศึกษากิจการนั้นๆ และเลือกซื้อด้วยมือของตัวเอง (และอาจจะเจ๊งเอง 555+) 

สำหรับผมแล้ว ผมแบ่งพอร์ตการลงทุนในกองทุนอยู่ที่ 30%
และ พอรตการลงทุนในหุ้นนั้นอยู่ที่ 70%
ดังนั้นในตอนถัดๆไปเราจะพูดถึงเรื่องหุ้นกันล้วนๆแล้วนะครับ :)

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตอนที่ 7 : เริ่มต้นลงทุนที่ไหนดีล่ะ

เริ่มที่ไหนดีล่ะ ?

ก่อนจะดูว่าเราจะเริ่มลงทุนที่ไหนดี จุดเริ่มต้นที่เป็นหัวใจของมันเลย นั่นคือ "การออม"
ในหนังสือเรื่อง The Richest Man in Babylon นั้นแนะนำว่า เราควรจะเก็บออมเงินของเรา 1 ใน 10 ส่วนหรือความหมายเดียวกีบ 10% ของเงินทั้งเดือนที่เราหาได้นั่นแหละ 
เพราะเงินจำนวนเท่านี้จะไม่มากเกินไปที่จะทำให้รายจ่ายในการดำเนินชีวิตของเรานั้นมากเกินไป

ตัวอย่างเช่น เงินเดือน 10,000 บาท เราก็ควรจะออมให้ได้เดือนละ 1,000 บาทนั่นเอง

แล้วจะลงทุนที่ไหน ?

ผมคงไม่แนะนำให้ฝากเงินไว้กับธนาคาร ไหนๆเราจะมาเป็นนักลงทุนทั้งที ขอแนะนำกองทุนหรือไม่ก็หุ้นไปเลย 

ลงทุนในกองทุนหรือหุ้น มันเสี่ยงไม่ใช่เหรอ ?

ถูกต้องครับ มันเสี่ยง แต่ด้วยความเชื่อนี้เองทำให้คนส่วนใหญ่ยังคงมองว่าการฝากเงินในธนาคารนั้นดีกว่า แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย การฝากเงินกับธนาคารนั้น เงินต้นเราไม่หายก็จริง แต่อย่าลืมว่า ดอกเบี้ยที่ได้นั้นมันน้อยกว่า "เงินเฟ้อ"

แปลว่าอะไร...

มันก็แปลว่า ยิ่งเราฝากตังไปเรื่อยๆ พอผ่านไปในแต่ละปี เงินเราจะโตไม่ทันเงินเฟ้อ (อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 0.5-2%)  ส่วนอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ ประมาณ 2.5-3% ในแต่ละปี อธิบายง่ายๆเหมือน เรามีเงิน 100 บาท ผ่านไป 1 ปี เราจะได้ดอกเบี้ยรวมเงินต้นประมาณ 102 บาท (ได้ 2%) แต่อย่าลืม เมื่อผ่านไป 1 ปี อัตราค่าของชีพและเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในระดับ 3%  แปลว่าเงินเราเติบโตแบบน้อยลงเรื่อยๆ(-1%)  เราได้เงิน 102 บาท ฟังดูเหมือนเงินมากขึ้น แต่มันคือกับดัก เพราะข้าวของในแต่ละปีนั้นเผลอๆบางทีแพงขึ้นกว่าอัตราเงินเฟ้อด้วยซ้ำ ธนาคารจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักในการลงทุน

แต่ผมก็แนะนำอีกเช่นกันว่าก่อนที่จะลงทุนควรจะมีเงินเก็บอย่างน้อย 6 เดือนไว้ในธนาคาร เพื่อเป็นเงินสำรองในการใช้ชีวิต กรณีฉุกเฉิน เช่น ถูกให้ออกจากงาน หรือเกิดเหตุการณ์ต่างๆที่ไม่คาดฝันที่จำเป็นต้องใช้เงินต้นจำนวนมากนั่นเอง  ผมมองว่านี่คือจุดประสงค์เดียวที่เราจำเป็นต้องฝากเงินกับธนาคาร

เหตุผลที่ต้องลงทุนในกองทุนหรือหุ้น

ที่ผมแนะนำว่าเป็นกองทุนหรือหุ้น เพราะว่ามันให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยแล้วมากกว่า 10% ต่อปีนั่นเอง ซึ่งนอกจากกองทุนหรือหุ้นแล้ว ก็ยังมีคอนโด บ้าน หรืออสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ที่จะให้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปีเช่นกัน แต่การลงทุนในกองทุนหรือหุ้นนั้น เราจะมีสภาพคล่องสูงกว่าคอนโดหรือบ้าน พูดง่ายๆคือ เราซื้อขายกองทุนหรือหุ้นง่ายกว่าเราซื้อขายบ้านนั่นเอง

มาถึงตรงนี้หลายคนน่าจะยังคงกังวลและสงสัยอยู่ ผมว่าก็ไม่แปลกเพราะคนเราถูกปลูกฝังมาว่า อย่าไปยุ่งกับหุ้นเลย ถ้าไม่อยากหมดตัว หรือแม้กระทั่งคนฆ่าตัวตายเพราะเจ๊งหุ้นมาก็เยอะ ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ผิดครับ เพราะว่า คนที่เจ๊งจากตลาดหุ้นมันมีมากเกินกว่า 80% น่ะสิ

อะๆๆๆ อ้าวววว แล้วจะมาแนะนำให้ลงทุนในหุ้นทำไม

ผมขอบอกว่าใจเย็นๆๆ อย่าเพิ่งคิดไปไกล อย่าเพิ่งคิดว่ามันน่ากลัว ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไป 

ติดตามได้ในบทถัดไปครับ

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตอนที่ 6 : เริ่มต้นลงทุนกันเถอะ!!

อย่าบอกนะว่าคุณไม่ลงทุน!!

ผมบอกได้เลย ไม่ว่าเราจะเป็นลูกจ้าง หรือทำธุรกิจส่วนตัว หรือเจ้าของกิจการเองก็ตาม

ทุกคนต้องลงทุน!!

หลายคนจะบอก เฮ้ย มาบังคับชีวิตตรูทำไมฟระ  จะลงทุนไม่ลงทุนก็เรื่องของตรูสิ 

ใช่ แต่ก่อนผมก็คิดอย่างนั้น เรื่องลงทุน มันไกลตัวเกินไป ไว้ก่อนก็ได้น่า

ผมมองข้ามมันไป จนวันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า

สิ่งที่เสียไปคือ "เวลา"

เวลาเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถเอากลับมาได้

แต่เวลานั้นสามารถที่จะทำให้ เงินทุน ของเรานั้นงอกเงยได้

ได้ยังไงล่ะ ?

ง่ายๆเพียงแค่คุณมาทำธุรกิจกับผม... เอ้ยไม่ใช่

ผมไม่ได้มาขายตรง แต่ผมมีความลับอย่างนึงจะบอก...

อย่างที่เคยบอกไปว่าตัวแปรนึงที่จะทำให้เงินที่เราลงทุนเติบโตขึ้น มันคือเรื่องของเวลา

หลายคนอาจจะสงสัย แล้วเอ็งเป็นใครวะ รวยรึยังมาสอนเนี่ย

ผมจะบอกว่า ผมน่ะยังไม่รวยนะ แต่ถ้าเวลาผ่านไปถึงจุดๆนึง ผมขอบอกว่าผมรวยแน่นอน

อาจฟังดูน่าหมั่นไส้ ผมไม่ได้มาขายฝัน เพราะขายไปก็ไม่ได้ตังค์ อิอิ

ทำไมถึงรวยล่ะ ก็เพราะตัวแปรสำคัญตัวนึงมันคือเรื่องของเวลาไง เอ้า!! มาดูกัน

สมมตินะครับสมมติ!!

วันนี้เรามีเงินเก็บ 1,000 บาท ถ้าเรานำไปลงทุนในที่ๆให้ผลตอบแทน 10% เราจะได้รับเงินเพิ่ม 100 บาททุกๆปี
  • ถ้าเรามีเงินเก็บ 10,000 บาท ไปลงทุนในที่ๆให้ผลตอบแทน 10% เราจะได้รับเงิน 1,000 บาท ต่อปี
  • ถ้าเรามีเงินเก็บ 100,000 บาท ไปลงทุนในทีๆให้ผลตอบแทน 10% เราจะได้รับเงิน 10,000 บาท ต่อปี
  • ถ้าเรามีเงินเก็บ 1,000,000 บาท ไปลงทุนในทีๆให้ผลตอบแทน 10% เราจะได้รับเงิน 100,000 บาท ต่อปี
  • ถ้าเรามีเงินเก็บ 10,000,000 บาท ไปลงทุนในทีๆให้ผลตอบแทน 10% เราจะได้รับเงิน 1,000,000 บาท ต่อปี
เริ่มเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ ว่าผลตอบแทนต่อปี ถ้าเราเอามันไปลงทุนต่อ เมื่อมันมากพอ มันจะสามารถที่จะเลี้ยงเราไปได้ตลอดชีวิตยังไงล่ะ หลายคนอาจจะบอกโห แล้วกว่าจะ 10 ล้าน ไม่ต้องลงทุนกันเป็นร้อยๆปีเหรอ ตายก่อนพอดี

ผมจะบอกให้ว่าโลกเราก็ไม่ได้โหดร้ายพอที่จะทำให้คนเราไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ภายใน 1 ชั่วอายุคนหรอก เพียงแค่เราต้องเข้าใจเงินมากพอ โดยวางเงินนั้นในที่ที่เงินมันสามารถที่จะโตได้แบบก้าวกระโดด และเวลาที่นานพอ ทุกสิ่งเหล่านี้มันก็พร้อมที่สร้างเครื่องจักรผลิตเงินในรูปแบบของเงินปันผลให้กับเราและเลี้ยงเราได้จนวันตายโดยที่เรานั้นไม่เสียเงินต้นแม้แต่บาทเดียว (ฟังดูเข้าท่ากว่าทำงานเก็บเงินแล้วรอตายเยอะ เพราะเงินหมดแล้วเสือกไม่ตายนี่งานเข้าเลยนะ 555)

หลายคนอาจจะไม่เชื่อ และบอกว่า บ้าเหรอ!! ถ้ามันมีแบบนี้ คนเรามันก็รวยทุกคนแล้วสิ

ผมขอตอบเลยนะครับว่า มีครับมี แต่ที่คนเขาไม่สามารถทำได้ก็เพราะว่า เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันเพียงพอยังไงล่ะ เดี๋ยวต่อบทหน้านะครับ

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตอนที่ 5 : เงิน 4 ด้าน

เราได้เงินมาจากไหน ?

จากหนังสืออันโด่งดังของคิโยซากิ "เงิน 4 ด้าน" http://goo.gl/6rtzM0 นั้นสรุปออกมาว่า

การหาเงินของเรานั้น ถูกแบ่งออกมาได้ 2 แบบ

แบบแรกคือ ใช้แรงทำงาน (Active Income) และ แบบที่สองคือ ใช้เงินทำงานเพื่อสร้างเงินอีกที (Passive Income) หลายคนสงสัยว่า ห๊ะ มีด้วยเหรอการหาเงินแบบให้เงินทำงาน เพราะตอนที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน มันก็มีคำถามมากมายโผล่ขึ้นมาในหัว ซึ่งเป็นด้านที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย

เราสามารถจำแนกวิธีการได้มาซึ่งเงินทั้ง 2 แบบ นั้นได้มาจากงานทั้งหมด 4 ประเภท

1.ลูกจ้าง/พนักงาน (Employee) ตัวย่อ E
2.ธุรกิจส่วนตัว (Self-Employed) ตัวย่อ S
3.เจ้าของกิจการ (Business Owner) ตัวย่อ B
4.นักลงทุน (Investor) ตัวย่อ I

ถ้าวิเคราะห์เกี่ยวกับงานด้านต่างๆ จะวิเคราะห์ได้ดังนี้

1.ลูกจ้าง/พนักงาน (Employee)
  • ได้รับเงินจากการใช้แรงทำงาน (Active Income)
  • ได้รับเงินเป็นรายเดือน
  • เมื่ออยู่ในสถานะที่ไม่สามารถทำงานได้แล้ว ก็จะไม่ได้รับเงิน
  • อิสรภาพถูกจำกัดด้วยการขายเวลาแลกเงิน
2.ธุรกิจส่วนตัว (Self-Employed)
  • อิสระกว่าพนักงานประจำ
  • ทำได้มากเท่าไหร่ ก็ได้รายได้มากเท่านั้น
  • เมื่ออยู่ในสถานะที่ไม่สามารถทำงานได้แล้ว ก็จะไม่ได้รับเงิน
  • อิสรภาพถูกจำกัดด้วยการขายเวลาแลกเงิน
3.เจ้าของกิจการ (Business Owner)
  • ใช้เงินลงทุน เพื่อให้เงินไปสร้างรายได้มาให้เรา (Passive Income)
  • ได้รับเงินจากผลกำไรของกิจการที่ทำ
  • เมื่ออยู่ในสถานะที่ไม่สามารถทำงานได้แล้ว ก็จะยังคงมีเงินไหลเข้ามาอยู่ เพราะจ้างคนอื่นทำงาน
  • ผลตอบแทนอาจสูงหรือต่ำ หรือขาดทุน ก็ได้ และต้องแบกรับกิจการ ไม่ว่าจะอยู่ในขาขึ้นหรือขาลงก็ตาม

4.นักลงทุน (Investor) 
  • ใช้เงินลงทุน เพื่อให้เงินไปสร้างรายได้มาให้เรา (Passive Income)
  • ได้รับเงินจากปันผลของสินทรัพย์ที่เราลงทุน เช่น กองทุน หุ้น ตราสารหนี้ คอนโด
  • เมื่ออยู่ในสถานะที่ไม่สามารถทำงานได้แล้ว ก็จะยังคงมีเงินไหลเข้ามาอยู่ เพราะเราใช้เงินไปสร้างเงินปันผลให้เรา
  • อิสระในการเปลี่ยนการลงทุนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งมากกว่าเจ้าของกิจการ แต่ผลกำไร ขาดทุนที่ได้จะน้อยกว่าการเป็นเจ้าของกิจการ
เราไม่มีทางที่จะสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนได้จากการหาเงินแบบ Active Income (E กับ S) มันจะได้ค่าตอบแทนในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะว่าคนเรามีแรงและเวลาที่จำกัด นั่นเอง

ในการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน เราจำเป็นต้องสร้างรายได้แบบ Passive Income หรือการใช้เงินออกไปหาเงินให้เรานั่นเอง บางคนอาจจะเลือกเป็นเจ้าของกิจการ (รับผิดชอบในกิจการของตัวเอง) บางคนมีเงินที่น้อยกว่า อาจจะเลือกเป็นนักลงทุน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแนวที่ชอบ

หลายคนอาจจะคิดว่า โห เป็นนักลงทุนเลยเหรอ แบบนี้ต้องมีเงินเป็นแสน เป็นล้านสิ กว่าจะมาเป็นนักลงทุนได้ ซึ่งแต่ก่อนผมก็เคยคิดแบบนั้น แต่พอมาศึกษาเรื่องการลงทุน ก็ทำให้พบว่าการมีเงินเก็บเดือนละ 500-1,000 บาทนั้นก็สามารถที่จะเริ่มลงทุนเพื่อทำให้เงินเหล่านั้นเติบโตขึ้นมาได้มากๆในอนาคตแล้วล่ะ 

สำหรับเงินจำนวน 500-1,000 น่าจะไม่ยากเกินไปสำหรับการเก็บออมเพื่อเริ่มลงทุนกันใช่ไหมครับ



วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตอนที่ 4 : Mindset กับ การเงิน


Mindset

คือกระบวนการทางความคิด ทัศนคติ และมุมมองต่างๆของคน Mindset มีผลอย่างมากที่จะทำให้คนเรานั้นแตกต่างกัน ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนก็ต่างกันตรง Mindset 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือคนที่มี Mindset ที่ถูกต้อง หรือมีวิธีคิดที่ถูกต้องนั้นต่อให้ทำธุรกิจเสียเงินจนหมดตัวก็สามารถที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ส่วนคนที่ไม่มี Mindset เกี่ยวกับการเงินที่ถูกต้อง หากได้เงินจำนวนมากมาก็จะไม่รักษาเงินนั้นๆไว้ได้

สำหรับการดำเนินชีวิต คนเราต้องมีการตั้งเป้าหมาย การตั้งเป้าหมายนั้นสำคัญแต่วิธีการไปสู่เป้าหมายนั้นสำคัญกว่า หลายคนอาจจะมองว่า โอเค ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ แน่นอนการทำวันนี้ให้ดีที่สุดนั้นใช่ แต่หากไม่มีเป้าหมายว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุดไปเพื่ออะไร มีจุดประสงค์อะไร มันก็ไม่ต่างจากการอยู่ไปวันๆ ดังนั้นทำวันนี้ให้ดีที่สุดไม่พอต้องทำให้ตรงตามเป้าหมายที่เราวางไว้ด้วย เหตุผลหนี่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่นั้นไม่ประสบความสำเร็จเกี่ยวกับการเงินนั่นก็คือ

ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับเงิน

  • ใช้ก่อน ออมทีหลัง
  • ไม่เข้าใจว่าอะไรคือทรัพย์สิน อะไรคือหนี้สิน
  • ซื้อของตามความอยากหรือสิ่งของที่ไม่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต สิ่งของเหล่านี้นับวันยิ่งเสื่อมค่า ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จะเพิ่มมูลค่าได้เมื่อเวลาผ่านไป
  • ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน 
  • และยังใช้เงินมากขึ้นเมื่อเงินเดือนเพิ่มขึ้น
  • ถูกปลูกฝังมาว่าให้เก็บเงินก้อนนึงไว้ใช้ยามแก่ และ ไม่รู้จักการลงทุน
  • ไม่คิดถึงความเสี่ยงในเรื่องของการทำงาน
ปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นล้วนเป็นกับดักที่ทำให้เงินมีอำนาจเหนือเรา บางคนเลือกที่จะซื้อรถโดยไม่จำเป็น เพราะมีความเชื่อที่ว่าการซื้อรถคือความภาคภูมิใจอย่างนึงในชีวิต การมีรถนั้นจะช่วยให้สะดวกสบายจริง แต่อย่าลืมว่าภาระที่เราต้องจ่ายกับรถนั้นมันมากแค่ไหน การซื้อรถจะก่อให้เกิดรายจ่ายรายเดือน หรือที่เรียกว่า passive expense หมายความว่าเราต้องจ่ายมันทุกเดือน ถึงแม้ว่าเดือนนั้นเราไม่มีงานเราก็ต้องการค่าผ่อนค่างวดรถนั่นเอง สำหรับมนุษย์เงินเดือนนั้นอาจจะใช้เวลาผ่อนรถนานถึง 5 ปีเลยทีเดียว ซึงนั่นหมายความว่า 5 ปีนั้นคุณต้องสามารถทำงานประจำ หรือสร้างรายได้ ได้อย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะมาผ่อนรถนั่นเอง และพอหลังจาก 5 ปีนั้น เราก็จะอยากได้รถคันใหม่ เพราะว่ารถคันเก่านั้นมันตกรุ่นและเก่าแล้ว ก็จะเกิดวงจรซ้ำๆเดิมไปเรื่อยๆนั่นเอง

บางคนอาจจะคิดว่า เราจะเก็บเงินได้ก็ต่อเมื่อเรามีเงินเดือนเยอะขึ้น ซึ่งมันไม่จริง เพราะถ้าวันนี้เราใช้เงินเดือนของเราหมดในทุกๆเดือน วันหน้าเรามีเงินเยอะขึ้น และสุดท้ายมันก็จะไม่มีเหลือเหมือนเดิม สิ่งที่ผิดไม่ใช่ว่าเงินเดือนน้อย หากแต่เพราะเราไม่คิดจะเก็บเงินไว้ต่างหาก

ประเด็นสำคัญคือ เราสามารถซื้อสิ่งของตามความอยากของเราได้ แต่อย่าลืมว่าเงินทุกๆบาท ทุกๆสตางค์ที่เราได้จ่ายออกไปนั้นมันคุ้มค่ากับเรามากแค่ไหน ถ้าหากเราจ่ายเงินกับบางสิ่ง เราก็จะเสียต้นทุนทางโอกาสที่จะได้ลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าในอนาคตนั่นเอง