วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตอนที่ 20 : รวยเงินล้าน ใครๆก็ทำได้ จริงดิ?

รวยเงินล้านใครก็ทำได้ จริงดิ?

เอาจริงๆผมจั่วหัวมาซะขนาดนี้จะบอกว่าการหาเงินล้านนั้นไม่ยากเลย (ถ้าใครมีแล้ว กดปิดไปได้เลย)

หลายคนอาจจะถามว่าเฮ้ย เอ็งมีเงินเป็นล้านแล้วเหรอถึงมาเขียนบทความนี้อะ

ไม่ครับ ตอนนี้ยังไม่มี แต่อนาคตมีชัวร์ (พูดจาเหมือนขายฝัน แต่มันคือฝันที่ผ่านการวางแผน หุหุ)

ทีนี้มาดูก่อนว่าเราจะหาเงิน 1 ล้านบาทได้อย่างไร


1.คุณต้องสร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่


ข้อนี้เป็นวิธีที่เร็วสุดๆ หลายคนสร้างตัวเพียงข้ามคืนจากข้อนี้แหละ

เอาเป็นว่าจะเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น App มือถือที่ติดโฆษณาแล้วมียอดคนใช้ 1 ล้านคนทั่วโลก

เงินล้านก็จะมาได้โดยไม่ยาก หรือจะเป็นอย่างอื่น ข้อนี้ยากตรงไอเดีย ถ้ามั่นใจว่าเจ๋ง จัดไป!!

ถ้าใครพยายามแล้วไม่ไหวหรือยังคิดไม่ออกข้ามข้อนี้ไปก่อน

2.คุณต้องเก่งสุดๆ อยู่ในระดับต้นๆ ของอาชีพนั้นๆ


ถ้าคุณเก่งซะอย่าง เดี๋ยวเงินมาหาเอง

ถ้าคุณไม่เก่งก็ฝึกทักษะ พัฒนาตัวเองอยู่เสมอให้อยู่ในระดับ top ของอาชีพนั้นๆ

ถ้าพยายามแล้วรู้สึกยังไงก็ไม่เก่ง ไม่สามารถก้าวไประดับ top ของสายอาชีพได้ ข้ามข้อนี้ไป

3.คุณต้องมีกิจการของตัวเอง


ไม่ว่าจะเป็นแม่ค้าขายปลาทูส่ง หรือจะขายครีม หรือจะเป็นเจ้าของธุรกิจอะไรก็ตามแต่ 

ถ้าคุณบริหารจนธุรกิจมันสร้างกำไรเป็นบวก คุณก็แค่ทำมันซ้ำเรื่อยๆ เดี๋ยวเงินล้านก็มาเอง

ถ้าใครไม่ชอบแนวนี้หรือพยายามแล้วไม่ไหว ก็ข้ามข้อนี้ไป

4.มนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ


ถ้าสมมติว่าเราคิดสร้างนวัตกรรมไม่ออก

ถ้าสมมติว่าเราไม่เก่งระดับต้นๆของสายอาชีพ

และถ้าสมมติว่าเราไม่มีกิจการอะไรเป็นของตัวเองเลย


ก็เป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆนี่แหละ!!

หื้มม ใครจะไปคิดว่ามนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ จะหาเงินล้านได้

ข้อนี้ผมจะบอกว่า ความเชื่อที่ว่ามนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆนี่ว่าไม่มีทางรวยน่ะมันไม่จริง

คุณรวยได้... ใช่ รวยได้จริงๆ แต่มันต้องมีวิธีซักหน่อย

ซึ่งผมมีวิธีที่ทำได้แน่นอน 100% มาฝาก เอ้าจริงดิ!

ถ้าคุณ ไม่เก่งโคตรๆ ไม่มีกิจการเป็นของตัวเอง ไม่ถนัดสร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์กับคนมากมาย

ผมขอเสนอเพียงอย่างเดียวที่คุณต้องมี นั่นคือ "ความอึด"

วิธีนี้เป็นวิธีที่พื้นฐานมากๆๆๆๆ ก่อนที่จะต่อยอดไปยังเรื่องอื่นนั่นคือ



คุณต้องเริ่มเก็บตังทีละนิดๆ ในเมื่อเราไม่เก่ง แต่ต้องไม่ลืมพัฒนาทักษะในสายอาชีพที่เราทำ

เพราะถ้าเราทำงานซ้ำๆเดิมๆ แน่นอน ไม่มีใครเขาอยากขึ้นเงินเดือนให้เราหรอกครับ ดังนั้น

ไม่ว่าจะทำงานผ่านไปกี่ปี ถ้าคุณยังทำงานได้เท่าเดิม การที่คุณจะได้เงินเดือนเท่าเดิมย่อมไม่แปลก



ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องใช้เวลาในการเก็บออมเงินของเราครับ

อันดับแรกเลย สมมติว่าเราเริ่มเก็บเงินปีแรก ผมขอเสนอเบาๆ เดือนละ 1,000 บาท

ตัวเลขนี้คงไม่ยากเกินไปใช่ไหมครับ

แล้วปีถัดๆมา เราก็เก็บเพิ่มขึ้นต่อเดือน ปีละ 1,000 บาท ต่อให้เราเก็บเงินเฉยๆ

เราก็จะมีเงิน 1 ล้านบาทในปีที่ 13 ดังตารางด้านล่างครับ ง่ายไหมครับ ??

ตารางข้างล่างคือผลตอบแทนตาม % ต่างๆครับ 

โดยมีเงื่อนไขคือเราต้องเอาดอกเบี้ยจากการลงทุน ไปลงทุนต่อเพื่อทบต้นเรื่อยๆ

ซึ่งอย่างที่ผมแนะนำมาโดยตลอดว่าเราไม่ควรฝากเงินที่อัตราดอกเบี้ยทีน้อยกว่า 5%

เพราะเงินมันจะไม่โตไปกว่าเงินเฟ้อ ซึ่งเฟ้อประมาณปีละ 2.5-3%




เอาล่ะ ถ้าใครกล้าลงทุนหน่อย ก็ไปหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทน 5% 10% 15% เช่น พันธบัตร ตราสารหนี้ กองทุนต่างๆ ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี ซึ่งผมขอบอก่ามีเยอะแยะ ตัวอย่างที่แนะนำเป็นประจำคือกองทุนกรุงศรีหุ้นปันผล หรือ KFSDIV ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 13% ต่อปีเลยทีเดียว

ซึ่งคนที่ไม่เคยศึกษาเรื่องการเงินย่อมไม่รู้ ผมต้องขอบอกว่า ผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไร (แต่ผมอึดนะ) 
ผมก็เพิ่งมาอ่าน เพิ่งมาศึกษาแล้วก็เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง และไม่อยากให้ต้องมาปล่อยเวลาให้มันผ่านไปเฉยๆ เท่านั้นเอง

บางคนอาจจะบอกว่า โห ต้อง 20 ปีเลยเหรอกว่าจะรวยได้ 

เชื่อผมเถอะ 20 ปี ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย มันก็ต้องผ่านไปอยู่ดี 
ดังนั้นเราเอาเวลามาเก็บเงินแล้วลงทุนดีกว่ามั้ย

ทีนี้เรามาดูเฉพาะดอกเบี้ยกันดีกว่า



เราก็พบอีกว่า เฉพาะดอกเบี้ยนั้นก็จะโตขึ้นเรื่อยๆในแต่ละปี

สมมติอีกว่าถ้าเราคิดว่า เราหาเงินมา 20 ปีแล้ว และเราจะไม่ฝากเงินอีกต่อไปแล้ว เรามาดูกันว่า

ในปีที่ 20 นั้น ที่ผลตอบแทนตาม % ต่างๆ จะสร้างรายได้ให้กับเราต่อปี และ ต่อเดือนเป็นเท่าไหร่

ข้อมูลตามตารางข้างล่างเลยครับ




จะเห็นได้ว่า ถ้าเราเก็บเงินมากขึ้นเรื่อยๆต่อเดือน ปีละ 1,000 บาท

ที่ปีที่ 20

ถ้าเราถือเป็นเงินทิ้งไว้ ไม่ลงทุนอะไรเลย เราจะมีเงินทั้งสิ้นจำนวน 2,520,000 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 3% จะมีเงินทั้งสิ้น จำนวน 3,162,712 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 5% จะมีเงินทั้งสิ้น จำนวน 3,709,251 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 10% จะมีเงินทั้งสิ้น จำนวน 5,676,330 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 15% จะมีเงินทั้งสิ้น จำนวน 8,998,531 บาท (เกือบ 10 ล้านเลยทีเดียว)

สิ่งที่ผมจะให้มองต่อไปคือเราต้องห้ามเสียเงินต้น ดังนั้นเงินที่เราสะสมได้ห้ามเอามาใช้

ใช่ครับ ห้ามเอามาใช้

เราจะใช้เพียงแต่ดอกเบี้ยที่เงินนั้นสร้างให้เรา

ซึ่งเรียกกันว่า การให้เงินทำงาน หรือ money making machine ก็ได้ครับ

ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 3% จะมีเงินดอกเบี้ยให้ใช้ต่อเดือน จำนวน 7,906 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 5% จะมีเงินดอกเบี้ยให้ใช้ต่อเดือน จำนวน 15,455 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 10%  จะมีเงินดอกเบี้ยให้ใช้ต่อเดือน จำนวน 47,302 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 15%  จะมีเงินดอกเบี้ยให้ใช้ต่อเดือน จำนวน 112,481 บาท

นั่นแหละครับ เงินที่จะสร้างเงินเดือนให้เราตลอดไปจนตาย หลักการง่ายๆแค่นี้เองครับ

ข้อสำคัญคือเราต้องสร้างเงินต้นให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเยอะได้ จะกำหนด 10 ปี 20 ปี 30 ปี 40 ปี

ก็แล้วแต่ความพึงพอใจเลยครับ

ประเด็นคือ คุณต้องมีเงินมากพอที่จะสร้างเงินที่เลี้ยงเราได้จนวันตาย โดยห้ามใช้เงินต้น





เอาล่ะทีนี้ถ้าคิดว่าตารางแรกมันยากเกินไป ผมเปลี่ยนให้คุณใหม่ 

อ่ะๆๆ เก็บเงินเดือนละ 500 ก็พอ แล้วก็เก็บเพิ่มขึ้นทุกๆปี โดยขึ้นปีใหม่ 

เราก็เก็บเพิ่มขึ้น 500 บาทต่อเดือน แต่ครั้งนี้ถ้าเราเก็บเงินได้น้อยผมจำเป็นต้องขยายจำนวนปี

จาก 20 ปีเป็น 30 ปีครับ ทีนี้มาดูผลตอบแทนกัน ตามตารางข้างล่าง




 เฉพาะดอกเบี้ยที่เราจะได้ จะเป็นดังนี้ครับ


เมื่อครบ 30 ปีเราก็จะมีเงินตามตารางข้างล่างครับ


ผมขออธิบายซ้ำอีกรอบเพื่อความกระจ่างนะครับ

ที่ปีที่ 30

ถ้าเราถือเป็นเงินทิ้งไว้ ไม่ลงทุนอะไรเลย เราจะมีเงินทั้งสิ้นจำนวน 2,790,000 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 3% จะมีเงินทั้งสิ้น จำนวน 3,914,552 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 5% จะมีเงินทั้งสิ้น จำนวน 5,009,860 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 10% จะมีเงินทั้งสิ้น จำนวน 9,962,266 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 15% จะมีเงินทั้งสิ้น จำนวน 21,618,018 บาท (ทะลุ 10 ล้านเลยทีเดียว)

สิ่งที่ผมจะให้มองต่อไปคือ เหมือนเดิม เราต้องห้ามเสียเงินต้น

ดังนั้นเงินที่เราสะสมได้ห้ามเอามาใช้

ใช่ครับ ห้ามเอามาใช้

เราจะใช้เพียงแต่ดอกเบี้ยที่เงินนั้นสร้างให้เรา

ซึ่งเรียกกันว่า การให้เงินทำงาน หรือ money making machine ก็ได้ครับ

(ตั้งใจเขียนซ้ำเพื่อความเข้าใจ 555)

ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 3% จะมีเงินดอกเบี้ยให้ใช้ต่อเดือน จำนวน 9,786 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 5% จะมีเงินดอกเบี้ยให้ใช้ต่อเดือน จำนวน 20,874 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 10%  จะมีเงินดอกเบี้ยให้ใช้ต่อเดือน จำนวน 83,018 บาท
ถ้าเราลงทุนในอัตราดอกเบี้ย 15%  จะมีเงินดอกเบี้ยให้ใช้ต่อเดือน จำนวน 270,225 บาท

นี่แหละครับ วิธีการสร้างเงินเดือนของเราในอนาคตจากเงินของเราเอง

ขอเพียงแค่คุณมีวินัย ความเข้าใจในการหาที่ๆสร้างผลตอบแทนตาม % ต่างๆ และ ความอึด

คุณก็จะสามารถสร้างเงินล้านและนำมันมาสร้างเป็นเงินเดือนที่เลี้ยงเราไปจนตายได้

โดยไม่มีสิทธิ์เลิกจ้างเราหรือเบี้ยวไม่ยอมจ่ายเงินเดือนให้เราได้ ให้กับเราตลอดชีวิต

ง่ายป่ะครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตอนที่ 19 : เกมเศรษฐี!!



ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงจะเคยเล่นเกมเศรษฐีกันมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Monopoly สมัยก่อน หรือถ้าเป็นสมัยนี้ต้อง Get Rich เกมเศรษฐีของทาง Line ซึ่งโด่งดังมากๆในขณะนี้

ที่ผมเขียนเรื่องนี้เพราะอะไร ?

ผมจะบอกว่าเราทุกคนต่างก็เคยเล่นเกมเศรษฐีมาและทุกคนที่เล่นเกมนี้ผมก็เชื่ออีกว่าเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายเดียวของเกม นั่นก็คือการได้เป็นเศรษฐีและเอาชนะคู่แข่งให้ล้มละลายหมดตัว!! (แต่ชีวิตจริงเราไม่ควรไปทำให้ใครหมดตัวนะ)

ในเกมนั้นสอนให้เราเอาเงินสด ไปซื้อเป็นที่ดิน พอเราเดินตกที่ดินของเราอีกรอบ เราก็จะสามารถซื้อบ้าน หรือสร้างโรงแรมได้ เมื่อคนอื่นมาตกที่ของเรา เราก็จะได้เงินจากการเข้ามาพักอาศัยของคนที่มาตก แล้วเราก็นำเงินนั้นไปลงทุนซื้อโรงแรมหรือซื้อที่ดินราคาแพงๆ เพื่อที่จะได้สร้างรายได้ที่มากกว่าเดิมต่อๆไป จนเรากลายเป็นผู้ชนะ มีที่ดินหมดทั้งกระดาน

อุปสรรคต่างๆในเกมก็เช่น เราอาจจะซวยต้องไปซื้อเรือยอช หรือซื้อของราคาแพงๆ ซึ่งการตกช่องเหล่านี้เรามักจะเซ็งเพราะเราต้องการเอาเงินที่เราเก็บไว้นั้นไปซื้อที่ดิน บ้าน หรือโรงแรมมากกว่า

แน่นอนว่าทุกคนรู้ว่าถ้าเรายิ่งมีที่ดินในครอบครองมากๆ เราก็จะยิ่งมีโอกาสเป็นผู้ชนะในเกมนี้นั่นเอง

แต่ในชีวิตจริง เรากลับทำตรงข้าม...

คนส่วนใหญ่ที่ไม่รวยเอาเงินไปซื้อสิ่งของที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าในอนาคต  ยิ่งซื้อค่าของมันยิ่งลง  มูลค่าทางการลงทุนที่ยิ่งลดลงตามวันเวลาที่ผ่านไป มันก็คือการซื้อขยะดีๆนี่เอง

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนทำงานทั้งชีวิตแล้วยังไม่รวย เพราะวิธีคิดมันผิดไง!!

ลองกลับไปเล่นเกมเศรษฐีกันอีกครั้ง เพราะเมื่อวันเวลาผ่านไปเราอาจจะลืมไปว่า เกมเศรษฐีนั้นมันเล่นยังไง 

อย่าเอาแต่สร้างแลนด์มาร์คแค่ในเกม 

มาลองสร้างแลนด์มาร์คในชีวิตจริงกันดีกว่า

และสุดท้าย!! อย่าบอกนะว่าคุณไม่เล่นเกม...









วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตอนที่ 18 : กรณีศึกษาหุ้น JAS !?


เรามาลองวิเคราะห์หุ้น JAS กันดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น ?

ก่อนอื่นเลยผมขอออกตัวไว้ก่อนนะครับว่าไม่ได้ได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์อะไรจาก JAS นะครับ ที่หยิบมายกตัวอย่างบ่อยๆเพราะว่าช่วงนี้ หุ้นตัวนี้มันมีอะไรให้น่าเอามาเป็นตัวอย่าง ดังตอนที่ผ่านมาก็คือ ตอนที่ 13 : เงินปันผล 16% เฮ้ย มีจริงดิ !! ที่ผ่านมา และ ในตอนที่ 18 ซึ่งก็คือบทความนี้นั่นเอง เราจะสังเกตว่า ตอนที่ผมเขียนตอนที่ 13 นั้นราคาหุ้น JAS เริ่มพุ่งขึ้นทะลุจาก 7 บาทไปยัง 9 บาทเลยทีเดียว แต่ทำไมวันนี้ราคาหุ้นจึงตกเหลืออยู่ที่ 6.95 บาท หรือลดลงมาจากราคาปิดเมื่อวาน คือ 8.65 บาท (-19.65%)

อันดับแรกผมขอบอกก่อนนะครับว่าผมไม่ได้ลงทุนหุ้นหรือเล่นหุ้นตามข่าว ซึ่งถ้าเล่นตามข่าว ถ้ามันเป็นข่าวจริง ผมไม่เถียงว่ามันอาจจะดีนะ แต่คุณต้องเป็นคนแรกๆที่รู้ข่าวนั้น เราจะมั่นใจได้ยังไงว่าเราจะไม่เป็นคนที่ได้รู้ข่าวนั้นช้าไป ซึ่งถ้าเราเล่นหุ้นตามข่าว เราก็ต้องติดตามข่าวสารนั้นไปตลอดชีวิต แต่การที่เอาข่าวมาเป็นส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์เช่นดูเทรน ดูตลาด ดู GDP ดูข่าวเศรษฐกิจ ก็จะพอเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์หุ้นได้บ้าง ที่สำคัญคือต้องกรองให้ดีว่าอันไหนจริง อันไหนไม่จริง

สำหรับผมดูตามข้อมูล แล้วจะสรุปออกมาให้ฟังนะครับ แต่ข้อมูลเหล่านี้คือสิ่งที่ผมมองครับ ซึ่งผมก็ไม่ใช่นักวิเคราะห์อะไร ซึ่งมันอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ครับ ผมจะสรุปตามข้อมูลที่มีคือผลประกอบการ และ ข้อมูลสิทธิ์ประโยชน์ ที่เราพอจะมีเป็นข้อมูลนะครับ

ประเด็นที่ 1  มองที่ JAS เองนั้นก็ได้ประกาศ XD โดยขึ้นเครื่องหมายวันที่ 5 มีนาคม 2558 ครับ โดยบอกว่าจะปันผล 1.5 บาทต่อหุ้น จุดนี้แปลว่าถ้าใครซื้อหุ้น JAS ก่อนวันที่ 5 มีนาคม ก็จะได้รับปันผลนี้ ส่วนใครซื้อหุ้นภายในวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD ก็จะไม่ได้รับปันผลนั่นเอง ในส่วนนี้คนที่เคยถือหุ้น JAS คิดว่าราคานั้นสูงแล้ว และได้รับปันผลแล้ว จึงทยอยขายออกไป นอกจากนี้ยังมี XD รอบ 2 ให้ลุ้นว่าหุ้นจะขึ้นอีกเล็กน้อยก่อนวันที่ 11 มีนาคมด้วย ซึ่งผมคาดว่าหุ้นอาจจะขึ้นเล็กน้อยและในวันที่ 11 ก็จะลงอีก เพราะมีคนที่ถือรอจนถึงวันนั้นแล้วขายออกไป

สำหรับประเด็นแรกผมวิเคราะห์เฉพาะตัว JAS เท่านั้น

ประเด็นที่ 2 เรามาลองดูตลาดรวมกันบ้างว่าเป็นอย่างไร

ถ้าเราดูตาม SET ปรากฎว่าช่วงนี้มีการเทขายหุ้นครับ

แน่นอนว่ากลุ่มสื่อสารก็เช่นกัน


ทีนี้เรามาดู JAS กันบ้าง

ถ้าเรามองภาพใหญ่ จะเห็นว่า SET ลง กลุ่มสื่อสารหรือ ICT ลง และ JAS ก็ลง

สำหรับผมเองมองว่า ตลาดโดยรวมมันเป็นขาลง นักลงทุนเทขายหุ้นออกไปค่อนข้างเยอะ โดยสังเกตจาก RSI ที่เป็นเครืองมือทางเทคนิค เข้าใกล้ 30 นั่นหมายความว่า สภาพตลาดตอนนี้ใกล้เข้า สถานะ "ขายมากเกินไป" แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันไม่ได้แปลว่า ตลาดจะไม่ลงไปต่อนะครับ

รวมถึงตัว JAS เอง RSI ก็แตะ 30 แล้ว ซึ่งถ้าเรามองจากพื้นฐานของกิจการที่ดีมาโดยตลอด ก็ถือว่าเป็นช่วงที่ดีสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่จะเริ่มเข้ามาเก็บหุ้นตัวนี้ ถ้ามองว่า มันลงเพราะตลาด ไม่ใช่เพราะกิจการ ซึ่งผมก็คิดว่ามันน่าจะเป็นไปตามที่ผมมอง เพราะตัวกิจการเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

หรือถ้าใครคิดว่ารอผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกก่อนก็ยังได้ครับ และตรงนี้ก็ยังเป็นเหมือนจุดเริ่มที่กำลังลง ทางที่ดีคือเราอาจจะแบ่งเงินเป็น 2 กอง โดยกองแรกเข้าไปซื้อก่อน แล้วที่เหลือค่อยตามเก็บ อาจจะเก็บเบาๆช่วงนี้และรอให้ตลาดปรับตัวเป็นขาขึ้น ค่อยเก็บอีกครั้งก็ยังไม่สายครับ

ผมเองค่อนข้างเชื่อมั่นเกี่ยวกับการลงทุนระยะยาวครับสำหรับปัจจัยในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเก็บหุ้นพื้นฐานดีสะสมในพอร์ตของเราครับ โดยอยากจะทยอยเก็บอย่างที่ผมบอกก็ได้ หรือใครที่เล่นสั้น ก็รอสัญญาณซื้อเข้ามาแล้วค่อยทำการซื้อในจังหวะนั้นเพื่อเก็งกำไรต่อไปก็ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นมุมมองของผมที่เป็นมือใหม่นะครับ ซึ่งอาจจะถูกอาจจะผิดก็ได้ และไม่ได้ชี้นำให้ซื้อหรือไม่ซื้อนะครับ ขอให้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจครับ

โชคดีครับทุกท่าน

สำหรับท่านที่สนใจดู Technical Analysis เบื้องต้น กับการใช้กราฟ Aspen ก็สามารถดูได้ที่นี่เลยครับ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตอนที่ 17 : รวมคลิป investment by coalapanda


ทั้งหมดจะเป็นคลิปที่ผมได้ทำไว้เพื่อสอนเพื่อนๆ น้องๆมือใหม่ที่สนใจเกี่ยวกับการลงทุนครับ ซึ่งขณะนี้จะมีอยู่ทั้งหมด 4 ตอนด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความรู้การลงทุนเบื้องต้นนะครับ ถ้าหากใครสนใจก็ลองศึกษาได้ครับ

1.investment 101 ทำความเข้าใจเรื่องการลงทุนกันเถอะ
https://www.youtube.com/watch?v=DCOffbygR_8


investment 102 เริ่มต้นวิเคราะห์งบการเงินอย่างง่ายๆ 
https://www.youtube.com/watch?v=8qSpaI2vqus

investment 103 Technical Analysis เบื้องต้น
https://www.youtube.com/watch?v=FuDMQaUKXuQ


investment 103 Technical Analysis เบื้องต้น
https://www.youtube.com/watch?v=FuDMQaUKXuQ


วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตอนที่ 16 : หุ้นตัวแรกที่ผมซื้อ ??

ผมเริ่มต้นซื้อหุ้นจาก...

เงินก้อนแรกที่ผมเริ่มลงทุนนั่นคือเงินจำนวน 5,000 บาท ซึ่งผมมั่นใจว่ามันเป็นเงินเย็นแน่ๆ 

จริงๆแล้วเงิน 5,000 บาทนี้ผมค่อนข้างภูมิใจมากนะ เพราะมันมาจากการขายไอเทมในเกม!!

อ่าวๆๆ เล่นเกมแล้วขายเงินจริงนี่หว่า  (ไหนเอ็งบอกว่าอยู่สายสีขาวตลอดไง ทำไมเอ็งเจือกไปขายไอเทมในเกมวะๆๆ)

อ๊ะๆ ใจเย็นๆครับ เงิน 5,000 บาทในตอนนั้นผมได้มาจากการขายไอเทมเกมนึงซึ่งเขาเปิดให้สามารถซื้อ-ขายเงินจริงกันได้อย่างเสรี นั่นคือ Real Money Auction House ของเกม Diablo 3 ครับ (ตอนนี้ระบบนั้นปิดไปแล้ว เนื่องจากทาง Blizzard ค่ายเกมบอกว่า มันทำให้คนไม่พยายามเลย ประมาณว่ามีเงินก็เทพได้แล้ว เขาเลยตัดสินใจเอาระบบนี้ออกไป)

ผมค่อนข้างมีความภาคภูมิใจกับการได้เงินประเภทนี้มาครับ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ!! 

ซึ่งเงินก้อนนี้ผมก็ได้มาฟรีๆ ถ้ามันจะหายไปกับการลงทุนก็ช่างมันปะไร!!

กลับมาเรื่องหุ้นกันต่อ...

ผมศึกษาหาหุ้นดีที่จะเริ่มลงทุนตัวแรกอยู่ก็นาน ในที่สุดผมก็เลือกกิจการนึงครับ ที่ผมมั่นใจว่าผมอยากเป็นเจ้าของกิจการมันจริงๆ เพราะนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ได้กล่าวไว้ว่าให้ซื้อหุ้น เหมือนกับซื้อกิจการ คือซื้อเพราะเราอยากจะเป็นเจ้าของกิจการนั้นๆจริงๆ แล้วก็ถือมันยาวไปชั่วชีวิต ไม่ใช่หวังเพียงแค่การขึ้นลงของราคาและทำกำไร

ผมคิดวนอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ ว่า...
  • กิจการอะไรน้อ ที่คนต้องใช้ทุกๆวัน
  • กิจการอะไรที่อย่างน้อยอีก 10 ปี 30 ปี มันก็น่าจะยังอยู่นะ
  • กิจการอะไรที่ต่อให้วิกฤตเศรษฐกิจ คนก็ยังจำเป็นต้องใช้มัน
  • กิจการอะไรที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันของเรา
ระหว่างที่ผมคิดไปคิดมา ผมก็ได้ยินเสียงประกาศ "สถานีต่อไป อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ..."

อ้อ....กิจการนี้อยู่ไม่ไกลจากตัวผมตอนนั้นเลย

BTS คือคำตอบ!!


ผมอยากเป็นเจ้าของ BTS เพราะ...
  • ผมคิดว่า มันต้องอยู่ได้อีก 10 ปี หรือ 30 ปี ยังไงคนก็น่าจะยังต้องใช้ BTS
  • คนแน่นตลอด วันนั้นที่ผมขึ้น คนก็แน่น
  • พนักงานออฟฟิตหนุ่มสาว ใช้ BTS แน่นอน เพราะมันจำกัดเวลาได้!!
  • มีคอนโดเกิดขึ้นรอบๆ BTS มากมายในช่วงนั้น
  • ราคามันแพงจังเลย (แต่คนก็ยังขึ้น) และดูเหมือนมันจะขึ้นราคาได้ไม่ยากด้วย (สมัยที่ผมซื้อ ตัวเลขยังลงท้ายด้วย 5 และ 0 ตอนนี้ปรับราคาขึ้นมาและมีลงท้ายด้วย 2 แทน สถานีไกลสุดคือ 52 บาท จากเดิม 40 บาท)
แล้วผมจะรออะไรล่ะ!!

จัดเลยสิ BTS เต็มพอร์ต 500 หน่วย เป็นเงิน 4,000 บาท พอดี (พอดีตรงไหน เหลือ 1,000 บาทสิ!!)

และแล้วผมก็จัด BTS มา 500 หน่วย รวมค่าคอมมิชชั่นนิดหน่อย เลยเป็น 4,000 กว่าบาท

พอร์ตแรกของผมเปิดกับกสิกรไทย เลยโดนค่าธรรมเนียมอีก 50 บาทด้วย T^T

ผมไม่ได้บอกว่ากสิกรไทยไม่ดีนะครับ เพียงแต่ว่าผมมารู้ทีหลังว่า หลักทรัพย์บัวหลวง นั้นไม่เสียค่าธรรมเนียมตรงนี้

หลังจากนั้นมาผมก็เลยเลิกเทรดพอร์ตกสิกรไทยอีกเลย... เพราะผมเสียดาย 50 บาทต่อวันที่ทำการเทรดครับ

หลายๆคนอาจจะคิดว่ามันน้อยนะ แต่เงินผมน้อยครับ ผมก็เลยค่อนข้างห่วงเรื่องนี้อย่างน้อยก็ค่าข้าว 1 มื้อล่ะนะ อิอิ

หลังจากนั้นผ่านมา 2 ปี

กิจการตัวแรกที่ผมเลือกเองก็ยังคงสร้างกำไรอย่างต่อเนื่องและปันผลที่ดี รวมถึงราคาหุ้นที่ขยับจาก 8 บาท ไปยัง 10.xx บาท แม้ว่าตอนนี้จะเหลือ 9.6x ก็ตาม แต่ไม่เป็นไร ผมคิดว่ามันยังคงเติบโตได้ดีเรื่อยๆ  และผมก็ยังคงถือมันต่อไปเรื่อย...

ผมจะยังคงถือมันไว้ ตราบใดที่ผมเข้าไปทำธุระในเมืองแล้วต้องไปเบียดเสียดคนบน BTS 

นี่คือหุ้นตัวแรกของผมครับ...

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตอนที่ 15 : ถ้าไม่เข้าใจหุ้น ลงทุนในกองทุนดีกว่า

เริ่มต้นลงทุนในกองทุน ไม่ยาก


อย่างที่ผมได้เคยบอกไปในหลายๆตอนที่ผ่านมานะครับ ผมเน้นย้ำเสมอว่าการลงทุนมันมี 3 ตัวแปร ที่สำคัญมากๆนั่นก็คือ
  • เงินทุน
  • ผลตอบแทน
  • ระยะเวลา
และที่สำคัญเราควรจะเป็นนักลงทุนระยะยาว เพราะถ้าในระยะยาวไม่ว่าจะเป็นกองทุนหรือหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีเสมอ (ประมาณ 10-13% ต่อปี)

สำหรับตัวอย่างที่ผมยกมาก็คือกองทุนเปิด KFSDIV หรือ กรุงศรีหุ้นปันผลของธนาคารกรุงศรีนะครับ

ถ้าเราสังเกตดูประวัติการจ่ายปันผล จะพบว่ากองทุนนี้เริ่มจ่ายตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปีล่าสุดคือปี 2558 ซึ่งรวมแล้ว 12.85 บาท และที่สำคัญราคาตอนนี้คือ 12.71 บาทเท่านั้นเอง

แปลว่าถ้าเราซื้อกองทุนนี้มาตั้งแต่ปี 2551 เราก็ได้ทุนคืนแล้วครับ 

เพราะว่าราคาเฉลี่ยปี 2551 คือ 9.14 บาท ครับ ปันผลรวม 12.85 บาท นั่นหมายถึงเรากำไรไปแล้ว 3.71 บาท หรือคิดเป็น 140.6% เลยครับ

แต่เราไม่สามารถย้อนกลับไปซื้อกองทุนในปี 2551 ได้ ซึ่งผมเองก็ได้วิเคราะห์กองทุนตัวนี้แล้ว

และพบว่ามันให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 13.21% ต่อปีครับ

แปลว่าเราซื้อวันนี้ มันจะคืนทุนใน 7.57 ปีครับ

สำหรับปีที่เหลือเราก็ไม่ต้องทำอะไรกับเงินทุนของเราเลยครับเพียงแต่ปล่อยให้มันทำหน้าที่เป็นเครื่องผลิตเงินให้เราต่อไปเรื่อยๆเท่านั้นเองครับ

ถ้าเรามองในมุมมองของคนที่ต้องการอิสรภาพทางการเงิน (อยู่เฉยๆก็ได้เงินจากปันผลเลี้ยงเราไปตลอดชีวิต)

สมมติว่าเรามีเงินทุน 2 ล้านบาท ลงทุนในกองทุนนี้ เราจะได้ปันผลต่อปีคือ

2,000,000*13.21% = 264,200 ต่อปี หรือคิดเป็น 22,016 บาทต่อเดือนครับ

ถ้าใครใช้เงินไม่เกิน 22,016 บาทต่อเดือนก็นับว่า เราสามารถสร้างอิสรภาพทางการเงิน ด้วยเงินเพียง 2 ล้านบาท ได้แล้วนั่นเอง

เห็นไหมว่าอิสรภาพทางการเงินของเรา ราคาถูกกว่าการซื้อเบนซ์หรือมินิ 1 คันซะอีกนะ อิอิ

สิ่งสำคัญนะครับ

รวยง่ายๆ รวยเร็วๆนั้นไม่มีจริงครับ

แต่รวยนานๆ รวยโคตรๆ อันนี้มีจริง จากการที่เราลงทุนแล้วก็ถือมันไปนานๆนั่นเองครับ

โชคดีครับ!


ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wealthmagik.com/FundInfo/FundPerformance-0C00001L0D-EQF-F000000ROP-KFSDIV-%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5