วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตอนที่ 14 : กิจการที่ดี Vs กิจการที่แย่

มีกิจการแย่ๆบ้างไหม ?

ที่ผ่านๆมา ผมค่อนข้างเขียนถึงข้อดีของการลงทุน 
ซึ่งจริงๆการลงทุนมันก็ดีทั้งนั้นแหละ (เอ๊ะยังไง ?)

อ้าวแล้วทำไมบางคนลงทุนในหุ้นแล้วถึงเจ๊งหรือหมดตัวล่ะ ?

ผมขออธิบายในฐานะมือสมัครเล่นเท่าที่เข้าใจให้ฟังนะครับ

การลงทุนมันดีจริง เริ่มก่อนมีสิทธิ์ก่อน 
เพราะตัวแปรหนึ่งที่สำคัญก็คือเวลา ผมจึงอยากให้ทุกคน "ลงทุน"

ประเด็นคือ "เวลา" เมื่อมันผ่านไปแล้วเราไม่สามารถเอามันกลับมาได้

การลงทุนในบริษัทที่ดี (เติบโตอย่างน้อย 15%) เมื่อเวลาผ่านไปบริษัทก็จะเติบโต
ตามผลประกอบการ ของบริษัทนั้นๆ

แต่กรณีที่บริษัทมันแย่ เวลาที่ผ่านไปก็จะ "ทำร้าย" เงินลงทุนของเราได้เช่นกัน

สิ่งที่สำคัญที่ผมย้ำมาตลอดก็คือ ลงทุนในบริษัทที่ดี และ ถือมันไปตราบนานเท่านาน

เราอาจจะเห็นราคาหุ้นเด้งจาก 1 บาท กลายเป็นราคา 100 บาท ก็ได้ ในกิจการที่ดี

สำหรับกิจการที่แย่ เราก็อาจจะเห็นหุ้นราคา 1 บาท เด้งลงกลายเป็นราคา 0.01 บาท ก็ได้เช่นกัน

ดังนั้นความรู้ความเข้าใจจำเป็นต้องมี

ความรู้ที่ว่าอย่าเพิ่งไปคิดว่ามันยาก เพียงแต่เราต้องหัดอ่านและสังเกตให้ดีๆ

Checklist ที่ควรจะต้องสนใจและศึกษาที่ผมใช้ก็มีดังนี้
  • กิจการหรือบริษัทที่เราซื้อ เทรนมันเป็นอย่างไร อนาคตยังจะต้องใช้ไหม
  • งบการเงิน ผลกำไร ของบริษัทเป็นยังไง เติบโตอย่างต่อเนื่องมั้ย ถ้าไม่ เราก็ต้องไปเจาะลึกดูว่าเพราะอะไร
  • ช่วงวิกฤตมันจะยังรอดมั้ย บริษัทมีความสามารถที่จะกลับมาได้รึเปล่า (ตรงนี้จะได้หุ้นราคาถูก ถ้ากล้าซื้อนะ 555+)

ทีนี้เราลองมาดูกรณีศึกษาของหุ้นจริงๆกันบ้าง

หุ้นที่ว่านั่นคือบริษัท Apple และ Blackberry กันบ้าง 

โดยพิจารณากราฟราคา ระหว่างทั้งสอง



ผมรู้ว่าทุกคนต่างก็รู้ว่า ประมาณ 5 ปีก่อน คนรู้จัก Blackberry เยอะ

เพราะหนุ่มสาวต่างก็ใช้ BB ในการขอพิน ในการคุยกัน แต่สุดท้าย Apple 

ก็มาเอาชนะด้วย iphone ipad iต่างๆ นานา เป็นต้น

Apple สามารถแย่งส่วนแบ่งการตลาดไปได้และทิ้งห่างคู่แข่งอย่าง BB เรียกได้ว่าชนะขาด

และ BB ก็ไม่สามารถกลับมาได้อีกเลย 

ถ้าเราดูตามกราฟ ราคาของ Apple เป็นลักษณะของเทรนขาขึ้น (ก็เพราะคนซื้อใช้เยอะขึ้น นิยมขึ้น)

ส่วนเทรนของ BB ก็สวนทางในปีที่มันแย่อย่างชัดเจน... และยังคงแย่ต่อไปเรื่อยๆ

มันก็ดูกันแค่ประมาณนี้แหละครับ

สำหรับหุ้นไทยและประสบการณ์ตรงของผมก็เคยเจอกิจการที่เคยดี กลายเป็นแย่... และเป็นหุ้นในอุตสาหกรรมที่ผมรู้จักดีครับ

ผมชั่งใจที่จะเขียนอยู่นานครับ แต่ผมว่าผมเขียนดีกว่าเพื่อเป็นประสบการณ์ไม่ให้คนอื่นมาผิดพลาดเหมือนผมอีก ซึ่งผมจะให้ดูเฉพาะงบการเงินของบริษัทนั้น แต่ไม่ขอเอ่ยชื่อหุ้นนะครับ 




ถ้าเราสังเกตดูจะพบว่าช่วงปี 54 นั้นบริษัทเติบโตได้ดีอย่างมาก ไปจนถึงปี 55 (ราคาเติบโตขึ้น จาก 12.20 บาท ไป 14.60 บาท) และสุดท้ายเมื่อเข้าสู่ปี 56 งบการเงินของบริษัทนั้นแย่ลง ROA,ROE และ กำไรลดลง เมื่อเราดูให้ชัดอีกที ปี 57  (ราคาตกลงจาก 8.80 บาท เหลือ 3.80 บาท)เราจะพบว่า ROA ,ROE และ กำไรนั้น ติดลบ แต่ยังคงมีการจ่ายปันผลอยู่ (เป็นไปได้ไง เอาตังค์ที่ไหนมาจ่าย ?)

สำหรับหุ้นตัวนี้สำหรับผมเองก็ขอวิเคราะห์ว่าเพราะว่าเป็นบริษัทขนาดใหญ่ และพื้นฐานการบริโภคของลูกค้านั้นเปลี่ยนไปจึงทำให้เข้าข่ายว่าพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนไป เป็นหุ้นที่ต้องเฝ้าระวังและหากคิดว่ากิจการหรือบริษัทเหล่านี้ไม่สามารถกลับมาเป็นผู้นำด้านธุรกิจได้อีกต่อไป ทางออกเดียวคือ ต้องยอมขายทิ้งทุกราคา โดยไม่ต้องรอให้ราคาหุ้นเหลือ 0.01 บาทครับ สำหรับผมเอง ก็ได้ขายหุ้นนี้ทิ้งไปแล้วขณะที่ขาดทุนช่วงนั้นประมาณ 60% ครับ (แต่โชคดีที่ผมซื้อไว้ขำๆเพียง 100 หน่วยเท่านั้น ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากคนรอบตัวผมครับ ซึ่งมันก็เป็นจริงตามนั้น และบทเรียนครั้งนี้ผมก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากครับ 555+)

สรุปสุดท้ายคือ ต้องมองเทรนของบริษัทหรืออุตสาหกรรมนั้นๆให้ออกว่าอนาคตจะเป็นยังไง 10 ปี 50 ปี มันจะยังอยู่มั้ย แล้วจะมีอะไรที่จะทำให้เปลี่ยนแปลงให้ลูกค้านั้นหนีจากบริษัทที่เราถืออยู่ไปใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทอื่น ไม่งั้นยิ่งลงทุนยิ่งเจ๊งแน่นอนครับ 

ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ

ตอนที่ 13 : เงินปันผล 16% เฮ้ย มีจริงดิ !!


เงินปันผล 16% มีจริงดิ ?

ผมก็เคยสงสัยนะว่าการถือหุ้นระยะยาว เอาจริงๆแล้วขอแค่ได้เงินปันผลปีละ 3-5% นี่ก็ถือว่าโอเคแล้วนะเพราะว่าสุดท้ายเงิน 3-5% เมื่อเรานับมาลงทุนต่อ มันก็จะกลายเป็นเงินต้นที่ถูกรวมไปปันผลในปีหน้าๆอีก 3-5% ทบต้นไปเรื่อยๆ สำหรับผมแล้วก็ยังคงตามคอนเซปต์เดิมอย่างที่เคยพูดไว้ตลอดคือนักลงทุนระยะยาว ต้องหาหุ้นที่ดี แล้วอดทนถือมันไปตลอด

วันนี้ผมขอพูดถึงกรณีศึกษากับหุ้นของผมเอง นั่นก็คือ JAS ผมซื้อเมื่อช่วงกลางปี 2556 ในราคาประมาณ 8 บาท หุ้นตัวนี้ผมซื้อไม่ทันช่วงปันผลเดือนมีนาคมปี 2556 เลยไม่ได้ปันผล 0.09 บาท ณ ตอนนั้น หลังจากนั้นมาก็ผ่านปี 2557 ซึ่งเงินปันผลที่บริษัทจ่ายออกมาก็คือ 0.25 บาท/หุ้น ถ้าคิดเป็น % ก็คือผมลงทุน 8 บาท ได้ปันผล 0.25 บาท มันคือ 0.25/8*100 = 3.125% และปีนี้ ผมจะได้เงินปันผลอีก 1.5 บาทต่อหุ้น นั่นก็คือ 1.5/8*100 =  18.75%  ถ้ารวม 2 ปีที่ผมถือมาก็คือจะได้ 21.875% เลยทีเดียวนั่นแปลว่าถ้า JAS ยังคงเป็นอย่างนี้ต่อไป ผมจะคืนทุนภายในระยะเวลาประมาณ 6-8 ปีเท่านั้น!! และหลังจากนั้นผมจะสามารถถือ JAS ต่อไปได้โดยสร้างกำไรให้ผมตลอดกาล (ถ้าบริษัทมันไม่เจ๊งนะ 555+)

สำหรับพื้นฐานของกิจการ 4 ปีย้อนหลังขอวิเคราะห์ดังนี้
  • ROA/ROE เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
  • กำไรต่อหุ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ
  • มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • เงินปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอน ราคาหุ้นมันก็จะพุ่งไปเรื่อยๆ (ผมซื้อตอน 8 บาท ตอนนี้ 8.95 บาท ราคาเพิ่มขึ้น 11.87% ใน 2 ปี อิอิ) อย่างที่ผมได้เคยบอกไปเมื่อเราได้ซื้อกิจการที่ดี เราไม่จำเป็นต้องขายมันออกไป ตามความเชื่อของคนส่วนใหญ่ก็คือ ตลาดหุ้น เราต้องซื้อๆขายๆมัน ซึ่งสุดท้ายแล้ววอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่มั่งคั่งที่สุดของการเข้าสู่ตลาดหุ้น ก็คือ "การลงทุนในหุ้น" นั่นเอง การลงทุนในหุ้นก็คือการซื้อหุ้นให้เหมือนกับซื้อกิจการ ซื้อแล้วก็ไม่ขายมันอีกเลย จนกว่ากิจการหรือบริษัทนั้นจะแย่ หรือมีการลงทุนอื่นๆที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

สำหรับ JAS ผมก็ถือมาโดยตลอด ซึ่งในระหว่าง 2 ปีนี้ก็มีวิกฤตที่ทำให้ราคาของ JAS นั้นลดลงอยู่ในช่วง 5 บาท (JAS ใน Port ผมตอนนั้น -37.5%) ทำให้เพื่อนผมบางคนขาย JAS ไปหมดพอร์ต  และก็ไม่ยุ่งกับมันอีก แต่สำหรับผม ผมไปเดินเล่นในห้างก็ยังพบว่า JAS นั้นก็ยังทำธุรกิจ ยังมีลูกค้ายังมีกิจการอยู่ ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่น่าจะใช่ปัญหาระยะยาวที่จะทำให้บริษัทเจ๊ง เมื่อผมวิเคราะห์ดังนั้นแล้ว ผมก็ถือมันต่อไป

สำหรับนักลงทุนระยะยาว ถ้าหากเรามั่นใจว่าบริษัทที่เราลงทุนมันสามารถกลับมาได้ ตรงนี้คือจังหวะการลงทุนที่ดี เหมือนกับการได้สินค้าราคาถูกนั่นเอง

เอาล่ะมาลองดูว่า ถ้าเกิดเราซื้อ JAS ตอน 5 บาท เราจะได้อะไรบ้าง ?

1.ส่วนต่างของราคา  JAS วันนี้ราคา 8.95 บาท ถ้าคิดก็คือเติบโตขึ้น 79% ของราคา 5 บาทในช่วงวิกฤต
2.เงินปันผล ถ้าหากเราลงทุนตอนที่ JAS ราคา 5 บาทเราจะได้เงินปันผลทั้งหมด = 0.25+1.5 = 1.75 หรือคิดเป็น 1.75/5 * 100 = 35% เลยทีเดียว 

ซึ่งเราสามารถดูได้จากข้อมูลสิทธิประโยชน์ของ JAS นั่นเอง
http://www.set.or.th/set/companyrights.do?symbol=JAS&language=th&country=TH




หลายคนอาจจะมองว่า เฮ้ย แล้วจะไปซื้อตอนไหนล่ะ เมื่อไหร่มันจะกลับมา 5 บาทอีก 

ผมขอบอกว่า ก็รอวิกฤตไง 

อย่าลืมว่าวิกฤตก็ยังคงเป็นวิกฤตอยู่เหมือนเดิม 

แต่วิกฤตจะกลายเป็นโอกาสก็ต่อเมื่อ เราเตรียมพร้อมที่จะเผชิญมัน!!

หรือถ้าหากเรามั่นใจว่า JAS จะยังคงไปได้อีก ณ ราคา 8.95 บาท กับ % ปันผลในครั้งนี้คือ 1.5 บาท

คิดเป็น 1.5/8.95*100 = 16.75% 

เราก็สามารถที่จะเลือกตัดสินใจซื้อกิจการ หรือรอเก็บช่วงโปรโมชั่น (วิกฤตและข่าวร้าย)

ก็ได้ตามแต่ที่เราต้องการ

การเล่นหุ้นมีความเสี่ยง แต่ถ้าเราเปลี่ยนการเล่นเป็นการลงทุน 

ผลลัพธ์ที่ได้ มันก็จะต่างออกไป...โชคดีครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตอนที่ 12 : เริ่มต้นลงทุนในหุ้นกันเถอะ


ก่อนที่จะเริ่มต้นลงทุนเราต้องปรับความเข้าใจกันนิดนึงก่อนนะครับ
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของผมเวลาพูดถึงเรื่องหุ้น คนมักจะมองว่า
เฮ้ย!! 
  • ต้องมีเวลาจ้องหน้าจอตลอดเวลา 
  • ต้องเก่งเรื่องตัวเลขมากๆ 
  • ต้องดูหุ้นทุกวัน 
  • หุ้นตกคือเราลงทุนผิด
  • หุ้นขึ้นคือเราลงทุนถูก
  • มันเป็นเรื่องน่าปวดหัว
ซึ่งผมจะบอกว่า ความเชื่อเหล่านี้มันถูกครึ่งนึงเพราะว่าจริงๆแล้ว เราจะดูจอทุกวัน จะดูหุ้นทุกวัน หรือไม่มันก็แล้วแต่ครับว่าเราเลือกที่จะลงทุนแบบไหน ถ้าเราเข้าใจว่าการลงทุนแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร การลงทุนในหุ้นจากที่เรามองว่ามันเป็นเรื่องที่ยากและปวดหัว เราจะมองมันเป็นเรื่องที่ง่ายมากๆได้เลยล่ะครับ

การลงทุนในหุ้นนั้นถูกแบ่งเป็น 2 ประเภท

แบ่งได้ดังนี้
  • การลงทุนระยะสั้น
  • การลงทุนระยะยาว
ในส่วนนี้เราต้องแยกให้ออก ว่าเราเหมาะกับการลงทุนแบบไหน ซึ่งแต่ละแบบนั้นก็มีข้อดี ข้อเสียต่างกันแต่สำหรับผมแล้ว อยากให้ลองทั้ง 2 แบบ ทั้งลงทุนระยะสั้นและลงทุนระยะยาว 

แต่ขอให้แบ่งเงิน 70-80% ไว้ในการลงทุนระยะยาว และแบ่งเงิน  20-30% ไว้ในการลงทุนระยะสั้นครับ ในส่วนนี้ผมจะบอกให้ฟังอีกทีในภายหลังถึงเหตุผลของการแบ่งพอร์ตการลงทุนแบบนี้อีกครั้งนึงครับ ซึ่งเราต้องเข้าใจก่อนว่าการลงทุนแต่ละแบบนั้นแตกต่างกันอย่างไร

การลงทุนระยะสั้น

  • ทำกำไรจากส่วนต่างของราคา (ซื้อถูก ขายแพง)
  • สามารถซื้อเช้า ขายบ่าย ซื้อบ่าย ขายเย็น ได้ตามแต่ราคาหุ้นที่วิ่งในแต่ละวัน
  • ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา
  • ไม่ต้องสนใจพื้นฐานของกิจการ
  • เป็นการหารายได้แบบ Active Income เพราะเราต้องซื้อขาย ต้องตามเป็นรายวัน รายสัปดาห์
  • ต้องรู้จัก Stop Loss หรือการตัดขาดทุน กรณีที่หุ้นมันไม่ได้เป็นไปตามที่เราหวัง
  • ทักษะที่จำเป็นต้องมีสำหรับสายนี้คือ Technical Analysis (ไว้ผมจะเขียนอธิบายในตอนถัดๆไป)
  • เรียกว่าสายนี้ว่านักเล่นหุ้นหรือนักเก็งกำไร

การลงทุนระยะยาว

  • ราคาหุ้นเติบโตตามพื้นฐานของบริษัท บริษัทที่ดี เมื่อเวลาผ่านไป ราคาก็จะสูงขึ้นตามซึ่งจะทำให้เงินที่เราลงทุนไปก็จะเติบโตตามราคาหุ้น และทุกๆปีก็จะได้เงินปันผลเข้าบัญชีของเราเรือยๆ
  • ซื้อเมื่อบริษัทเหล่านั้นมีปัญหา หรืออยู่ในวิกฤต โดยเราต้องแน่ใจว่าบริษัทนั้นสามารถกลับมาได้ โดยพื้นฐานของบริษัทนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
  • ขายเมื่อ พื้นฐานของบริษัทนั้นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง หรือมีบริษัทอื่นที่เป็นคู่แข่งทำกำไรได้เหนือกว่า
  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอตลอด ซื้อแล้วลืมได้เลย
  • ต้องตรวจสอบพื้นฐานของกิจการ ต้องอ่านงบการเงิน และ วิเคราะห์บริษัทเป็น 
  • ต้องเปรียบเทียบผลประกอบการในแต่ละปี ในแต่ละไตรมาส ว่ามีแนวโน้มเป็นอย่างไร
  • เป็นการหารายได้แบบ Passive Income โดยลงทุนซื้อหุ้นเหมือนซื้อกิจการ และรอรับเงินปันผลจากผลกำไรของบริษัท
  • ทักษะที่จำเป็นต้องมีสำหรับสายนี้คือ Fundamental Analysis (ไว้ผมเขียนอธิบายในตอนถัดๆไปเช่นกัน)
  • รวยช้า แต่รวยมาก
  • เรียกสายนี้ว่านักลงทุนในหุ้น
สำหรับผมแล้วผมยังคงเชียร์ให้พยายามนำเงินส่วนใหญ่มาลงทุนระยะยาว เพราะว่า ในชีวิตคนเราควรจะทุ่มเทเวลาให้กับเรื่องที่ตัวเองชอบหรือเรื่องที่ตัวเราเองนั้นต้องทำ ส่วนเรื่องการลงทุนนั้นก็ปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของการใช้เงินทำงานเพื่อสร้างผลตอบแทนให้เราจะดีกว่าครับ

ตอนที่ 11 : เปิดบัญชีหุ้นยังไง ?

เปิดบัญชีหุ้น ไม่ยากอย่างที่คิด

เชื่อไหมว่าการเปิดบัญชีหุ้นนั้นไม่ต้องใช้เงินเลยแม้แต่บาทเดียว โดยเราไปที่ธนาคารในวันทำการ จันทร์-ศุกร์ ก่อนเวลา 15.30 น. นะครับ และบอกเขาว่าขอเปิดบัญชีหลักทรัพย์ครับ จากนั้นเราก็เตรียมเอกสารเพียงแค่ 3 อย่างดังนี้ครับ
  • บัตรประจำตัวประชาชน
  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • สมุดบัญชีออมทรัพย์ (ถ้ายังไม่มีต้องเสียเงินประมาณ 300-500 เพื่อเปิดบัญชีนี้ครับ)
  • ควรมี internet banking ของธนาคารนั้นด้วย (แนะนำธนาคารกรุงเทพครับ)
สำหรับผมมี 2 บัญชีหุ้นครับ หลายคนอาจจะคิดว่า เฮ้ย มีท่ายากอีกละ ไปเปิด 2 บัญชี

จริงๆแล้วไม่ใช่อย่างนั้นครับ บัญชีแรกผมไปเปิดของกสิกร ซึ่งต้องเสียค่าธรรมเนียมขั้นต่ำต่อวัน 50 บาท ในวันนั้นที่เราซื้อขายหุ้นครับ แรกๆก็ช่างมันครับ พอหลังๆเริ่มงก เลยเปลี่ยนไปเปิดบัญชีหลักทรัพย์ของธนาคารกรุงเทพ ที่ไม่มีค่าธรรมเนียมตรงนี้ดีกว่าครับ

ลองดูรายละเอียดค่าธรรมเนียมตาม link นี้นะครับ

กสิกรไทย

http://www.kasikornsecurities.com/TH/OpenAccount/AccountTypes/StockInvestment/CommissionFee/Pages/CommissionFee.aspx

กรุงเทพ (บัวหลวง)

http://itrading.bualuang.co.th/%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C_%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2

สำหรับผมแนะนำให้เปิดบัญชีกับธนาคารกรุงเทพนะครับ ซึ่งจะเรียกว่าหลักทรัพย์บัวหลวง เพื่อไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมดังกล่าวครับ (ตรงนี้ไม่ได้โฆษณานะครับ แต่ผมลองแล้วมันเวิร์คกว่ากสิกรตรงไม่เสียค่าธรรมเนียมนี่แหละครับ)

การเปิดบัญชี แนะนำให้เปิดเป็นบัญชีแบบ cash balance นะครับ หมายถึงว่าเรามีเงินเท่าไหร่ ก็สามารถซื้อหุ้นได้เท่านั้นครับ เพื่อจำกัดความเสียหายของพอร์ตของเราครับ

หลังจากนั้นต้องเซ็นเอกสารกองยักษ์ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที แล้วแต่ความเร็วในการเขียนของเรานะครับ ขอบอกว่าเยอะมาก แต่ว่าเขียนแค่ครั้งเดียวก็พอครับ

เมื่อเตรียมเอกสารเสร็จ ก็ส่งเจ้าหน้าที่ครับ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะส่งไปยังหลักทรัพย์บัวหลวงเพื่อพิจารณาเอกสารของเรา ตรงนี้ใช้เวลาประมาณ 2-3 อาทิตย์ครับ และเจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับมาว่าเราเปิดบัญชีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว หรือบัญชีเรามีปัญหาอะไร ซึ่งหากเรียบร้อยดีเราจะได้ username และ password มาครับ (แนะนำให้เขาส่งมาให้ทาง email ครับ)

หลังจากที่บัญชีเราได้รับการอนุมัติแล้ว เราก็เข้าไปเปลี่ยน password
ในเว็บ http://www.bualuang.co.th/th/index.php ได้เลยครับ

จากนั้นเราก็จะถือว่าเป็นนักลงทุนที่สามารถที่จะซื้อขายหุ้นได้แล้วครับ 

โดยวิธีที่เราจะซื้อหุ้นได้นั้นเราต้องโอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์ เข้าไปยังบัญชีหลักทรัพย์ก่อน
ในส่วนนี้ภายใน email ที่ตอบกลับมา เขาจะมีวิธีการเขียนบอกอยู่แล้วครับ ซึ่งตรงนี้ผมจะไม่ลงรายละเอียดนะครับ

เมื่อเราโอนเงินเข้าไปแล้ว จำนวนเงินที่เราสามารถซื้อหุ้นได้จะอยู่ใน Portfolio -> Line Available ครับ
หลังจากนั้นเราก็สามารถที่จะเลือกเป็นเจ้าของบริษัทหุ้นที่เราต้องการซื้อได้เลยครับ แต่มีข้อแม้คือในการซื้อหุ้นใดๆเราต้องซื้อขั้นต่ำ 100 หน่วยครับ

เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการเปิดบัญชีและเตรียมความพร้อมในการซื้อหุ้นแล้วครับ

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตอนที่ 10 : ทำความเข้าใจเกี่ยวกับหุ้น (2)


เล่นหุ้นยังไงให้ไม่เจ๊ง ?

อย่าเพิ่งคิดไปไกลว่ามันต้องมีท่ายากเยอะ หรือต้องเก่งอัจฉริยะขั้นเทพ ถึงจะเล่นหุ้นแล้วรวยได้

ผมขอตอบว่า "ไม่จำเป็น"

แล้วอะไรล่ะ ที่จะทำให้คนเล่นหุ้นแล้วรวย

อันดับแรก ต้องลืมคำว่า "เล่นหุ้น" ออกไปก่อน แล้วเปลี่ยนเป็น "ลงทุนในหุ้น" แทน

ซื้อหุ้นให้เหมือนกับเราเข้าซื้อกิจการ
ซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสม หรือต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการนั้น
ซื้อหุ้นในกิจการที่เจ๋ง ทำกำไรเหนือคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ซื้อหุ้นที่กิจการนั้นอยู่มานาน และมั่นใจว่ามันจะยังคงอยู่ต่อไป
ซื้อหุ้นในกิจการที่ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ มนุษย์ก็ยังคงต้องการมัน

และสุดท้าย เคล็ดลับสุดยอดวิชาของการทำกำไรนั่นก็คือ "การไม่ทำอะไรเลย" ถ้ากิจการนั้นๆไม่เปลี่ยนแปลงอะไร หรือมีกิจการในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันที่โดดเด่นกว่า

เราจะรวยจากการลงทุนในหุ้นได้ โดยมีเคล็ดลับคือ "การไม่ทำอะไรเลย"

เชื่อว่าบางคนคาดไม่ถึง

สุดท้ายที่เขียนมานี่จะบอกว่า การไม่ทำอะไรเลย นี่คือสุดยอดเคล็ดลับวิชางั้นหรือ

อย่างที่ผมบอกไป ถ้าเราคัดเลือกหุ้นที่ดีเข้ามาแล้วล่ะก็ ที่เหลือ ปล่อยให้มันเป็นไปตามกาลเวลา

ในปีหนึ่งๆ ถ้าบริษัทที่ดีจะสามารถทำกำไรได้ 10-15% ต่อปี หรือมากกว่านั้น

แน่นอนว่า สิ่งที่ตามมาคือราคาหุ้น และ เงินปันผลที่มากขึ้นเรื่อยๆ

สมมติว่าถ้าเรามีกิจการหนึ่ง ที่สามารถทำกำไรให้เราได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี

เราจะยังอยากจะขายมันอยู่ไหม แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลใดๆที่จะต้องขาย

และนี่เองคือที่มาของหุ้น 5 เด้ง 10 เด้ง 20 เด้ง หรือ 100 เด้ง

หุ้นบางตัวเข้าตลาดในราคา 1 บาท 

และมีการทำกำไรต่อเนื่องในทุกๆปี

เกิดความต้องการซื้อหุ้นในราคาสูงขึ้น เกิดการปรับฐาน เกิดเป็นวัฎจักร การขึ้นลงของราคา

สุดท้ายแล้วราคาก็จะพุ่งขึ้น 100,200,400 บาทก็มี

ซึ่งมันก็เพิ่มมูลค่าไปตามกำไรที่บริษัททำได้ เกิดเป็นหุ้น 100 เด้ง 200 เด้ง

แปลว่าเงินที่เราลงทุนก็เติบโตขึ้น 100 เท่า 200 เท่า ง่ายๆแบบนี้เลย เพียงแค่ต้องใช้เวลา

ดังนั้นเมื่อเจอหุ้นที่ราคาถูกในกิจการที่ดีมากๆๆๆ สิ่งที่เราต้องทำคือ ซื้อไว้และ ไม่ทำอะไรเลย

จนกว่าพื้นฐานของมันจะเปลี่ยนไป และที่สำคัญที่อยากจะเน้นย้ำว่า 

สิ่งที่จะสร้างเงินได้มากๆนั้นไม่ใช่การซื้อขายบ่อยๆ หรือไปนั่งจ้องกระดานทั้งวัน

แต่เป็นการถือหุ้นระยะยาว ที่เรานั้นไม่ต้องทำอะไรเลย 

เพียงแค่รอมันเติบโตขึ้นตามผลการดำเนินการของกิจการนั้นๆ นั่นเอง

นี่คือเคล็ดลับวิชาการลงทุน ที่จะทำให้เราเป็นผู้ชนะในตลาดหุ้น

รวยง่ายๆ รวยเร็ว เจ๊งแน่นอน

แต่ถ้า กว่าจะรวยนี่นานมาก แต่รวยนานๆ อันนี้มีแน่นอนครับ

ตอนที่ 9 : ทำความเข้าใจเกี่ยวกับหุ้น (1)

หลายคนมองว่า...

  • หุ้นเป็นเรื่องของตัวเลข
  • หุ้นเป็นเรื่องเครียด หนักสมอง
  • หุ้นเป็นเรื่องของความโลภ
  • หุ้นเป็นการพนัน
  • หุ้นทำให้คนเราเจ๊งมานักต่อนัก
  • คนเล่นหุ้นนั้นต้องมีเงินเยอะๆ
  • คนเล่นหุ้นต้องจ้องหน้าจอคอมอยู่ตลอดเวลา
ข้อสรุปทั้งหมดคือ อย่าไปยุ่งกับหุ้นเลย!!

ผมเองก็ถูกปลูกฝังมาแบบนั้น !!

เอาจริงๆแล้วนะ หุ้นมันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ความเชื่อทั้งหมดที่เราถูกปลูกฝังมา มันทำให้คนเรานั้นเกิดอาการกลัวกันไปเอง และคิดกันไปเองว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ คนเล่นหุ้นเขาอยากรวย และ เขาก็เจ๊ง 

อ้าวเขียนมาถึงตรงนี้ แล้วใครไม่อยากรวยล่ะ ตลกละ !!
แน่นอน ผมก็อยาก และผมก็เชื่อว่าถ้าคุณหลงมาอ่านถึงขนาดนี้แล้วล่ะก็
ถ้าคุณไม่ชอบผม ก็แปลว่าคุณอยากรวยน่ะสิ 555+

ผมย้ำอีกครั้งนะ 

คนส่วนใหญ่กว่า 80% เข้ามาในตลาดหุ้น แล้วก็เจ๊งครับ

และคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในตลาดหุ้น ก็ไม่ใช่คนโง่...

เอาล่ะ แล้วถ้าไม่อยากเจ๊ง ต้องทำยังไงล่ะ ?

ก็แค่ไม่ทำตามคนส่วนใหญ่ที่เขาเจ๊งกันไง (โห ตอบได้กวนตีนมาก)

แล้วคนส่วนใหญ่ทำอะไรกัน แล้วทำไมเราถึงต้องไม่ทำตามคนส่วนใหญ่

ผมจะเล่าให้ฟัง...

เวลาที่คนส่วนใหญ่ "ซื้อหุ้น" เพราะมันมีข่าวดี คนก็ซื้อกัน เมื่อมีแรงซื้อมาก ราคาหุ้นก็จะแพงขึ้นๆ

แปลว่าเราซื้อหุ้นนั้นในราคาที่ค่อนข้างแพงแล้ว

เวลาที่คนส่วนใหญ่ "ขายหุ้น" ก็เพราะว่ามันมีข่าวร้าย คนก็ขายหุ้นกัน ขายรัวๆ ราคาหุ้นก็ถูกลงเรื่อยๆ

แปลว่าเราขายหุ้นนั้นในตอนที่ราคามันถูกแล้ว

ง่ายๆและฟังดูเหมือนกวนตีน แต่มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ถ้าไม่เชื่อลองเข้ามาในตลาดหุ้นแล้วจะเข้าใจ

การทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราก็จะกลายเป็นคนส่วนใหญ่ในตลาดและสุดท้ายต้องด่าตลาดหุ้นและออกจากตลาดพร้อมกับสอนลูกหลานว่าถ้าไม่อยากหมดตัวก็อย่ามายุ่งกับตลาดหุ้นอีก

ผมมีเพื่อนคนนึง เขาบอกกับผมว่า "เฮ้ย เพื่อนกูเล่นหุ้นมา 10 ปี ไม่เห็นมันรวยเลย"

ผมฟังและตอบว่า "อืม ไม่แปลกหรอก เพราะคนส่วนใหญ่เกิน 80% เล่นแล้วเจ๊งไง"

อ้าว แล้วเราจะทำยังไงให้ไม่เป็นคนที่เจ๊งในตลาดหุ้นล่ะ ??




ตอนที่ 8 : กองทุน หรือ หุ้น ดี ?


เลือกยังไงดี ระหว่างกองทุน หรือ หุ้น

ตามที่ได้กล่าวในบทก่อนหน้านี้้ เมื่อเรามีเงินเก็บมากพอที่จะดูแลเราได้ใน 6 เดือน อยู่ในธนาคารแล้ว เราก็มาเริ่มลงทุนกันเลยดีกว่า โดยเงินที่เราจะเอามาลงทุนนั้นเรียกว่า "เงินเย็น" ซึ่งก็คือเงินที่เราไม่เอามาใช้ในชีวิตประจำวัน ให้คิดซะว่า ต่อให้เงินนี้มันสูญไป เราก็ไม่ได้เดือดร้อนนั่นเอง (ควรเป็น 10% ของเงินที่เราหาได้ในแต่ละเดือน)

สำหรับความแตกต่างระหว่างกองทุนหรือหุ้นนั้นมีค่อนข้างเยอะ

ผมจะเริ่มจากการอธิบายเกี่ยวกับกองทุนก่อน

กองทุน

กองทุนคือเงินที่เป็นกอง มารวมๆกันหลายๆคนเป็นกองทุน ในแต่ละกองทุนก็จะมีการจัดพอร์ตเพื่อนำเงินไปลงทุนให้เงินเติบโตเพื่อนำผลตอบแทนมาให้กับผู้ที่ถือหน่วยลงทุนในกองทุนนั้นๆ คนที่ลงทุนในกองทุนนั้นจะเหมือนระบบ Automatic  คือมีเงิน เดี๋ยวผู้จัดการกองทุนจัดให้ อาจจะเจ็บตัวก็ได้ขึ้นอยู่กับฝีมือในการบริหารกองทุนของผู้จัดการกองทุน

ข้อดีของการลงทุนในกองทุน

  • มีคนจัดการบริหารพอร์ตการลงทุนให้เรา พูดง่ายๆก็คือเอาตังไปซื้ออย่างเดียว เดี๋ยวผู้จัดการกองทุนเขาจะจัดการให้เราหมด
  • เราสามารถซื้อหุ้นบลูชิพ หรือหุ้นตัวใหญ่ได้ แม้ว่าเงินเราไม่ถึง เช่นการซื้อหุ้น มันมีกฎว่าต้องซื้ออย่างน้อย 100 หน่วยขึ้นไป ถ้าเราสนใจ PTT หรือ ปตท. เราต้องใช้เงินประมาณ 30,000 บาท ในการซื้อหุ้นตัวนี้  แต่สำหรับกองทุน เงินจำนวน 1,000-2,000 บาท เราก็สามารถที่จะมีส่วนร่วมในการลงทุนกับ PTT ได้แล้ว
  • ไม่ต้องเสียเวลามานั่งวิเคราะห์หุ้นรายตัว เพียงแค่เราศึกษานโยบายของกองทุนว่าลงทุนในหุ้นกลุ่มไหน เราก็ไปซือกองทุนนั้นๆ เราก็จะกลายเป็นเจ้าของหุ้นกลุ่มนั้น
  • มีการแบ่งพอร์ตการลงทุนชัดเจน เช่น ตราสารหนี้ พันธบัตร หุ้น ตาม % ต่างๆ แล้วแต่กองทุนนั้นๆ
  • กองทุนบางประเภทสามารถลดภาษีได้

ข้อเสียของการลงทุนในกองทุน

  • ไม่สามารถไปยุ่งกับการแบ่งพอร์ตของกองทุนได้
  • ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นกับบริษัทต่างๆ เพื่อไปตั้งคำถามสอบถามได้
  • ไม่สามารถขายหุ้นที่กองทุนถือได้
  • มีค่าธรรมเนียมในการซื้อขายและการดูแลจัดการกองทุน
  • กองทุนบางประเภท มีระยะเวลาในการซื้อขาย ซึ่งถ้าเราซื้อแล้วจะไม่สามารถขายได้อีกเลยประมาณ 5 ปี ตัวอย่างเช่น LTF เป็นต้น เพราะหากขายในช่วงระยะเวลาที่ยังไม่ถึงกำหนดจะทำให้สิทธิประโยชน์ในการหักภาษีจะถือเป็นโมฆะและต้องจ่ายภาษีย้อนหลัง
  • โอกาสน้อยมากที่จะทำกำไร 5 เด้ง 10 เด้ง เพราะว่าผู้จัดการกองทุนจะนำหุ้นที่กำไรขายทิ้งเพื่อมาปันผลให้กับผู้ถือหน่วยการลงทุนก่อน

หุ้น

หุ้นนั้นก็คือส่วนหนึ่งของกิจการที่เราสามารถเข้าไปซื้อได้เพื่อร่วมเป็นส่วนนึงของกิจการ คนที่ลงทุนในหุ้นนั้นจะเหมือนระบบ Manual คือซื้อเอง กำไรเอง เจ็บเอง

ข้อดีของการลงทุนในหุ้น

  • เราสามารถทำกำไรจากหุ้นได้เป็นหลายๆเท่าตัว เช่นหุ้น 5 เด้ง 10 เด้ง 100 เด้ง ซึ่งจะอธิบายเพิ่มเติมภายหลังอีกที
  • การซื้อหุ้นเหมือนซื้อกิจการ ถ้าเราชอบกิจการไหนเราก็สามารถซื้อกิจการนั้นได้เลย (ง่ายขนาดนั้นเชียว) ถูกต้องมันง่ายขนาดนั้นแหละ เพียงแค่มีเงินให้พอซื้อให้ได้ 100 หน่วยเท่านั้นก็พอ
  • มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อสอบถามปัญหาข้อสงสัยในกิจการนั้นๆ
  • ได้รับผลตอบแทนจาก ส่วนต่างของราคาและเงินปันผล ซึ่งส่วนต่างของราคานั้นจะไม่เสียภาษีอีกด้วย
  • สามารถซื้อขายได้ตามใจชอบ เพราะเราเป็นคนกำหนดพอร์ตการลงทุนเอง 

ข้อเสียของการลงทุนในหุ้น

  • ถ้าไม่มีความรู้ รับรองได้ว่าเจ๊งชัวร์ 
  • ต้องใช้จิตวิญญาณและจิตวิทยาในการลงทุนสูง เพราะตลาดหุ้นนั้นผันผวน ก่อให้เกิดความโลภและความกลัว ซึ่งในบางครั้งต้องมีการตัดขาดทุน ในบางครั้งต้องยอมถือโดยไม่ขาย ซึ่งในจุดนี้มันจะฝืนความรู้สึกอย่างมาก
  • ต้องมีเวลาอ่านงบการเงิน เพื่อติดตามดูแลกิจการที่เราเป็นเจ้าของอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งศึกษาคู่แข่งที่จะมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดกับกิจการที่เราถืออยู่
  • โอกาสเจ๊งหมดตัวจนเงินเหลือ 0 นั้นเกิดขึ้นได้

สุดท้ายแล้วทั้งหมดอยู่ที่ว่าเราถนัดการลงทุนแบบไหน ซึ่งถ้าหากลงทุนในกองทุนเราก็จะมีข้อได้เปรียบตรงที่ว่า ไม่ต้องไปใช้เวลากับมันมาก เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาศึกษา ส่วนหุ้นนั้นก็จะเหมาะกับคนที่มีเวลาศึกษากิจการนั้นๆ และเลือกซื้อด้วยมือของตัวเอง (และอาจจะเจ๊งเอง 555+) 

สำหรับผมแล้ว ผมแบ่งพอร์ตการลงทุนในกองทุนอยู่ที่ 30%
และ พอรตการลงทุนในหุ้นนั้นอยู่ที่ 70%
ดังนั้นในตอนถัดๆไปเราจะพูดถึงเรื่องหุ้นกันล้วนๆแล้วนะครับ :)

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตอนที่ 7 : เริ่มต้นลงทุนที่ไหนดีล่ะ

เริ่มที่ไหนดีล่ะ ?

ก่อนจะดูว่าเราจะเริ่มลงทุนที่ไหนดี จุดเริ่มต้นที่เป็นหัวใจของมันเลย นั่นคือ "การออม"
ในหนังสือเรื่อง The Richest Man in Babylon นั้นแนะนำว่า เราควรจะเก็บออมเงินของเรา 1 ใน 10 ส่วนหรือความหมายเดียวกีบ 10% ของเงินทั้งเดือนที่เราหาได้นั่นแหละ 
เพราะเงินจำนวนเท่านี้จะไม่มากเกินไปที่จะทำให้รายจ่ายในการดำเนินชีวิตของเรานั้นมากเกินไป

ตัวอย่างเช่น เงินเดือน 10,000 บาท เราก็ควรจะออมให้ได้เดือนละ 1,000 บาทนั่นเอง

แล้วจะลงทุนที่ไหน ?

ผมคงไม่แนะนำให้ฝากเงินไว้กับธนาคาร ไหนๆเราจะมาเป็นนักลงทุนทั้งที ขอแนะนำกองทุนหรือไม่ก็หุ้นไปเลย 

ลงทุนในกองทุนหรือหุ้น มันเสี่ยงไม่ใช่เหรอ ?

ถูกต้องครับ มันเสี่ยง แต่ด้วยความเชื่อนี้เองทำให้คนส่วนใหญ่ยังคงมองว่าการฝากเงินในธนาคารนั้นดีกว่า แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย การฝากเงินกับธนาคารนั้น เงินต้นเราไม่หายก็จริง แต่อย่าลืมว่า ดอกเบี้ยที่ได้นั้นมันน้อยกว่า "เงินเฟ้อ"

แปลว่าอะไร...

มันก็แปลว่า ยิ่งเราฝากตังไปเรื่อยๆ พอผ่านไปในแต่ละปี เงินเราจะโตไม่ทันเงินเฟ้อ (อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 0.5-2%)  ส่วนอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ ประมาณ 2.5-3% ในแต่ละปี อธิบายง่ายๆเหมือน เรามีเงิน 100 บาท ผ่านไป 1 ปี เราจะได้ดอกเบี้ยรวมเงินต้นประมาณ 102 บาท (ได้ 2%) แต่อย่าลืม เมื่อผ่านไป 1 ปี อัตราค่าของชีพและเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในระดับ 3%  แปลว่าเงินเราเติบโตแบบน้อยลงเรื่อยๆ(-1%)  เราได้เงิน 102 บาท ฟังดูเหมือนเงินมากขึ้น แต่มันคือกับดัก เพราะข้าวของในแต่ละปีนั้นเผลอๆบางทีแพงขึ้นกว่าอัตราเงินเฟ้อด้วยซ้ำ ธนาคารจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักในการลงทุน

แต่ผมก็แนะนำอีกเช่นกันว่าก่อนที่จะลงทุนควรจะมีเงินเก็บอย่างน้อย 6 เดือนไว้ในธนาคาร เพื่อเป็นเงินสำรองในการใช้ชีวิต กรณีฉุกเฉิน เช่น ถูกให้ออกจากงาน หรือเกิดเหตุการณ์ต่างๆที่ไม่คาดฝันที่จำเป็นต้องใช้เงินต้นจำนวนมากนั่นเอง  ผมมองว่านี่คือจุดประสงค์เดียวที่เราจำเป็นต้องฝากเงินกับธนาคาร

เหตุผลที่ต้องลงทุนในกองทุนหรือหุ้น

ที่ผมแนะนำว่าเป็นกองทุนหรือหุ้น เพราะว่ามันให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยแล้วมากกว่า 10% ต่อปีนั่นเอง ซึ่งนอกจากกองทุนหรือหุ้นแล้ว ก็ยังมีคอนโด บ้าน หรืออสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ที่จะให้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปีเช่นกัน แต่การลงทุนในกองทุนหรือหุ้นนั้น เราจะมีสภาพคล่องสูงกว่าคอนโดหรือบ้าน พูดง่ายๆคือ เราซื้อขายกองทุนหรือหุ้นง่ายกว่าเราซื้อขายบ้านนั่นเอง

มาถึงตรงนี้หลายคนน่าจะยังคงกังวลและสงสัยอยู่ ผมว่าก็ไม่แปลกเพราะคนเราถูกปลูกฝังมาว่า อย่าไปยุ่งกับหุ้นเลย ถ้าไม่อยากหมดตัว หรือแม้กระทั่งคนฆ่าตัวตายเพราะเจ๊งหุ้นมาก็เยอะ ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ผิดครับ เพราะว่า คนที่เจ๊งจากตลาดหุ้นมันมีมากเกินกว่า 80% น่ะสิ

อะๆๆๆ อ้าวววว แล้วจะมาแนะนำให้ลงทุนในหุ้นทำไม

ผมขอบอกว่าใจเย็นๆๆ อย่าเพิ่งคิดไปไกล อย่าเพิ่งคิดว่ามันน่ากลัว ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไป 

ติดตามได้ในบทถัดไปครับ

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตอนที่ 6 : เริ่มต้นลงทุนกันเถอะ!!

อย่าบอกนะว่าคุณไม่ลงทุน!!

ผมบอกได้เลย ไม่ว่าเราจะเป็นลูกจ้าง หรือทำธุรกิจส่วนตัว หรือเจ้าของกิจการเองก็ตาม

ทุกคนต้องลงทุน!!

หลายคนจะบอก เฮ้ย มาบังคับชีวิตตรูทำไมฟระ  จะลงทุนไม่ลงทุนก็เรื่องของตรูสิ 

ใช่ แต่ก่อนผมก็คิดอย่างนั้น เรื่องลงทุน มันไกลตัวเกินไป ไว้ก่อนก็ได้น่า

ผมมองข้ามมันไป จนวันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า

สิ่งที่เสียไปคือ "เวลา"

เวลาเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถเอากลับมาได้

แต่เวลานั้นสามารถที่จะทำให้ เงินทุน ของเรานั้นงอกเงยได้

ได้ยังไงล่ะ ?

ง่ายๆเพียงแค่คุณมาทำธุรกิจกับผม... เอ้ยไม่ใช่

ผมไม่ได้มาขายตรง แต่ผมมีความลับอย่างนึงจะบอก...

อย่างที่เคยบอกไปว่าตัวแปรนึงที่จะทำให้เงินที่เราลงทุนเติบโตขึ้น มันคือเรื่องของเวลา

หลายคนอาจจะสงสัย แล้วเอ็งเป็นใครวะ รวยรึยังมาสอนเนี่ย

ผมจะบอกว่า ผมน่ะยังไม่รวยนะ แต่ถ้าเวลาผ่านไปถึงจุดๆนึง ผมขอบอกว่าผมรวยแน่นอน

อาจฟังดูน่าหมั่นไส้ ผมไม่ได้มาขายฝัน เพราะขายไปก็ไม่ได้ตังค์ อิอิ

ทำไมถึงรวยล่ะ ก็เพราะตัวแปรสำคัญตัวนึงมันคือเรื่องของเวลาไง เอ้า!! มาดูกัน

สมมตินะครับสมมติ!!

วันนี้เรามีเงินเก็บ 1,000 บาท ถ้าเรานำไปลงทุนในที่ๆให้ผลตอบแทน 10% เราจะได้รับเงินเพิ่ม 100 บาททุกๆปี
  • ถ้าเรามีเงินเก็บ 10,000 บาท ไปลงทุนในที่ๆให้ผลตอบแทน 10% เราจะได้รับเงิน 1,000 บาท ต่อปี
  • ถ้าเรามีเงินเก็บ 100,000 บาท ไปลงทุนในทีๆให้ผลตอบแทน 10% เราจะได้รับเงิน 10,000 บาท ต่อปี
  • ถ้าเรามีเงินเก็บ 1,000,000 บาท ไปลงทุนในทีๆให้ผลตอบแทน 10% เราจะได้รับเงิน 100,000 บาท ต่อปี
  • ถ้าเรามีเงินเก็บ 10,000,000 บาท ไปลงทุนในทีๆให้ผลตอบแทน 10% เราจะได้รับเงิน 1,000,000 บาท ต่อปี
เริ่มเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ ว่าผลตอบแทนต่อปี ถ้าเราเอามันไปลงทุนต่อ เมื่อมันมากพอ มันจะสามารถที่จะเลี้ยงเราไปได้ตลอดชีวิตยังไงล่ะ หลายคนอาจจะบอกโห แล้วกว่าจะ 10 ล้าน ไม่ต้องลงทุนกันเป็นร้อยๆปีเหรอ ตายก่อนพอดี

ผมจะบอกให้ว่าโลกเราก็ไม่ได้โหดร้ายพอที่จะทำให้คนเราไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ภายใน 1 ชั่วอายุคนหรอก เพียงแค่เราต้องเข้าใจเงินมากพอ โดยวางเงินนั้นในที่ที่เงินมันสามารถที่จะโตได้แบบก้าวกระโดด และเวลาที่นานพอ ทุกสิ่งเหล่านี้มันก็พร้อมที่สร้างเครื่องจักรผลิตเงินในรูปแบบของเงินปันผลให้กับเราและเลี้ยงเราได้จนวันตายโดยที่เรานั้นไม่เสียเงินต้นแม้แต่บาทเดียว (ฟังดูเข้าท่ากว่าทำงานเก็บเงินแล้วรอตายเยอะ เพราะเงินหมดแล้วเสือกไม่ตายนี่งานเข้าเลยนะ 555)

หลายคนอาจจะไม่เชื่อ และบอกว่า บ้าเหรอ!! ถ้ามันมีแบบนี้ คนเรามันก็รวยทุกคนแล้วสิ

ผมขอตอบเลยนะครับว่า มีครับมี แต่ที่คนเขาไม่สามารถทำได้ก็เพราะว่า เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันเพียงพอยังไงล่ะ เดี๋ยวต่อบทหน้านะครับ

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตอนที่ 5 : เงิน 4 ด้าน

เราได้เงินมาจากไหน ?

จากหนังสืออันโด่งดังของคิโยซากิ "เงิน 4 ด้าน" http://goo.gl/6rtzM0 นั้นสรุปออกมาว่า

การหาเงินของเรานั้น ถูกแบ่งออกมาได้ 2 แบบ

แบบแรกคือ ใช้แรงทำงาน (Active Income) และ แบบที่สองคือ ใช้เงินทำงานเพื่อสร้างเงินอีกที (Passive Income) หลายคนสงสัยว่า ห๊ะ มีด้วยเหรอการหาเงินแบบให้เงินทำงาน เพราะตอนที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน มันก็มีคำถามมากมายโผล่ขึ้นมาในหัว ซึ่งเป็นด้านที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย

เราสามารถจำแนกวิธีการได้มาซึ่งเงินทั้ง 2 แบบ นั้นได้มาจากงานทั้งหมด 4 ประเภท

1.ลูกจ้าง/พนักงาน (Employee) ตัวย่อ E
2.ธุรกิจส่วนตัว (Self-Employed) ตัวย่อ S
3.เจ้าของกิจการ (Business Owner) ตัวย่อ B
4.นักลงทุน (Investor) ตัวย่อ I

ถ้าวิเคราะห์เกี่ยวกับงานด้านต่างๆ จะวิเคราะห์ได้ดังนี้

1.ลูกจ้าง/พนักงาน (Employee)
  • ได้รับเงินจากการใช้แรงทำงาน (Active Income)
  • ได้รับเงินเป็นรายเดือน
  • เมื่ออยู่ในสถานะที่ไม่สามารถทำงานได้แล้ว ก็จะไม่ได้รับเงิน
  • อิสรภาพถูกจำกัดด้วยการขายเวลาแลกเงิน
2.ธุรกิจส่วนตัว (Self-Employed)
  • อิสระกว่าพนักงานประจำ
  • ทำได้มากเท่าไหร่ ก็ได้รายได้มากเท่านั้น
  • เมื่ออยู่ในสถานะที่ไม่สามารถทำงานได้แล้ว ก็จะไม่ได้รับเงิน
  • อิสรภาพถูกจำกัดด้วยการขายเวลาแลกเงิน
3.เจ้าของกิจการ (Business Owner)
  • ใช้เงินลงทุน เพื่อให้เงินไปสร้างรายได้มาให้เรา (Passive Income)
  • ได้รับเงินจากผลกำไรของกิจการที่ทำ
  • เมื่ออยู่ในสถานะที่ไม่สามารถทำงานได้แล้ว ก็จะยังคงมีเงินไหลเข้ามาอยู่ เพราะจ้างคนอื่นทำงาน
  • ผลตอบแทนอาจสูงหรือต่ำ หรือขาดทุน ก็ได้ และต้องแบกรับกิจการ ไม่ว่าจะอยู่ในขาขึ้นหรือขาลงก็ตาม

4.นักลงทุน (Investor) 
  • ใช้เงินลงทุน เพื่อให้เงินไปสร้างรายได้มาให้เรา (Passive Income)
  • ได้รับเงินจากปันผลของสินทรัพย์ที่เราลงทุน เช่น กองทุน หุ้น ตราสารหนี้ คอนโด
  • เมื่ออยู่ในสถานะที่ไม่สามารถทำงานได้แล้ว ก็จะยังคงมีเงินไหลเข้ามาอยู่ เพราะเราใช้เงินไปสร้างเงินปันผลให้เรา
  • อิสระในการเปลี่ยนการลงทุนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งมากกว่าเจ้าของกิจการ แต่ผลกำไร ขาดทุนที่ได้จะน้อยกว่าการเป็นเจ้าของกิจการ
เราไม่มีทางที่จะสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนได้จากการหาเงินแบบ Active Income (E กับ S) มันจะได้ค่าตอบแทนในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะว่าคนเรามีแรงและเวลาที่จำกัด นั่นเอง

ในการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน เราจำเป็นต้องสร้างรายได้แบบ Passive Income หรือการใช้เงินออกไปหาเงินให้เรานั่นเอง บางคนอาจจะเลือกเป็นเจ้าของกิจการ (รับผิดชอบในกิจการของตัวเอง) บางคนมีเงินที่น้อยกว่า อาจจะเลือกเป็นนักลงทุน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแนวที่ชอบ

หลายคนอาจจะคิดว่า โห เป็นนักลงทุนเลยเหรอ แบบนี้ต้องมีเงินเป็นแสน เป็นล้านสิ กว่าจะมาเป็นนักลงทุนได้ ซึ่งแต่ก่อนผมก็เคยคิดแบบนั้น แต่พอมาศึกษาเรื่องการลงทุน ก็ทำให้พบว่าการมีเงินเก็บเดือนละ 500-1,000 บาทนั้นก็สามารถที่จะเริ่มลงทุนเพื่อทำให้เงินเหล่านั้นเติบโตขึ้นมาได้มากๆในอนาคตแล้วล่ะ 

สำหรับเงินจำนวน 500-1,000 น่าจะไม่ยากเกินไปสำหรับการเก็บออมเพื่อเริ่มลงทุนกันใช่ไหมครับ



วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตอนที่ 4 : Mindset กับ การเงิน


Mindset

คือกระบวนการทางความคิด ทัศนคติ และมุมมองต่างๆของคน Mindset มีผลอย่างมากที่จะทำให้คนเรานั้นแตกต่างกัน ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนก็ต่างกันตรง Mindset 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือคนที่มี Mindset ที่ถูกต้อง หรือมีวิธีคิดที่ถูกต้องนั้นต่อให้ทำธุรกิจเสียเงินจนหมดตัวก็สามารถที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ส่วนคนที่ไม่มี Mindset เกี่ยวกับการเงินที่ถูกต้อง หากได้เงินจำนวนมากมาก็จะไม่รักษาเงินนั้นๆไว้ได้

สำหรับการดำเนินชีวิต คนเราต้องมีการตั้งเป้าหมาย การตั้งเป้าหมายนั้นสำคัญแต่วิธีการไปสู่เป้าหมายนั้นสำคัญกว่า หลายคนอาจจะมองว่า โอเค ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ แน่นอนการทำวันนี้ให้ดีที่สุดนั้นใช่ แต่หากไม่มีเป้าหมายว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุดไปเพื่ออะไร มีจุดประสงค์อะไร มันก็ไม่ต่างจากการอยู่ไปวันๆ ดังนั้นทำวันนี้ให้ดีที่สุดไม่พอต้องทำให้ตรงตามเป้าหมายที่เราวางไว้ด้วย เหตุผลหนี่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่นั้นไม่ประสบความสำเร็จเกี่ยวกับการเงินนั่นก็คือ

ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับเงิน

  • ใช้ก่อน ออมทีหลัง
  • ไม่เข้าใจว่าอะไรคือทรัพย์สิน อะไรคือหนี้สิน
  • ซื้อของตามความอยากหรือสิ่งของที่ไม่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต สิ่งของเหล่านี้นับวันยิ่งเสื่อมค่า ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จะเพิ่มมูลค่าได้เมื่อเวลาผ่านไป
  • ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน 
  • และยังใช้เงินมากขึ้นเมื่อเงินเดือนเพิ่มขึ้น
  • ถูกปลูกฝังมาว่าให้เก็บเงินก้อนนึงไว้ใช้ยามแก่ และ ไม่รู้จักการลงทุน
  • ไม่คิดถึงความเสี่ยงในเรื่องของการทำงาน
ปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นล้วนเป็นกับดักที่ทำให้เงินมีอำนาจเหนือเรา บางคนเลือกที่จะซื้อรถโดยไม่จำเป็น เพราะมีความเชื่อที่ว่าการซื้อรถคือความภาคภูมิใจอย่างนึงในชีวิต การมีรถนั้นจะช่วยให้สะดวกสบายจริง แต่อย่าลืมว่าภาระที่เราต้องจ่ายกับรถนั้นมันมากแค่ไหน การซื้อรถจะก่อให้เกิดรายจ่ายรายเดือน หรือที่เรียกว่า passive expense หมายความว่าเราต้องจ่ายมันทุกเดือน ถึงแม้ว่าเดือนนั้นเราไม่มีงานเราก็ต้องการค่าผ่อนค่างวดรถนั่นเอง สำหรับมนุษย์เงินเดือนนั้นอาจจะใช้เวลาผ่อนรถนานถึง 5 ปีเลยทีเดียว ซึงนั่นหมายความว่า 5 ปีนั้นคุณต้องสามารถทำงานประจำ หรือสร้างรายได้ ได้อย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะมาผ่อนรถนั่นเอง และพอหลังจาก 5 ปีนั้น เราก็จะอยากได้รถคันใหม่ เพราะว่ารถคันเก่านั้นมันตกรุ่นและเก่าแล้ว ก็จะเกิดวงจรซ้ำๆเดิมไปเรื่อยๆนั่นเอง

บางคนอาจจะคิดว่า เราจะเก็บเงินได้ก็ต่อเมื่อเรามีเงินเดือนเยอะขึ้น ซึ่งมันไม่จริง เพราะถ้าวันนี้เราใช้เงินเดือนของเราหมดในทุกๆเดือน วันหน้าเรามีเงินเยอะขึ้น และสุดท้ายมันก็จะไม่มีเหลือเหมือนเดิม สิ่งที่ผิดไม่ใช่ว่าเงินเดือนน้อย หากแต่เพราะเราไม่คิดจะเก็บเงินไว้ต่างหาก

ประเด็นสำคัญคือ เราสามารถซื้อสิ่งของตามความอยากของเราได้ แต่อย่าลืมว่าเงินทุกๆบาท ทุกๆสตางค์ที่เราได้จ่ายออกไปนั้นมันคุ้มค่ากับเรามากแค่ไหน ถ้าหากเราจ่ายเงินกับบางสิ่ง เราก็จะเสียต้นทุนทางโอกาสที่จะได้ลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าในอนาคตนั่นเอง

ตอนที่ 3 : การลงทุน 101 (2)


ถ้าเราเก็บสะสมเงิน 10% จากเงินเดือนเราในทุกๆเดือน เป็นเวลา 10 เดือน 
จะพบว่าเราสามารถที่จะไม่ต้องทำงานได้ 1 เดือน จากเงินเก็บของเรา

ถ้าเราเก็บสะสมเงิน 10% จากเงินเดือนเราในทุกๆเดือน เป็นเวลา 10 ปี
จะพบว่าเราสามารถที่จะไม่ต้องทำงานได้ 1 ปี จากเงินเก็บของเรา

แปลว่าถ้าเราทำงาน 40 ปี แล้วเก็บเงินเดือนละ 10% ทุกเดือน 
เราจะอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงาน 4 ปี อันนี้คิดเทียบแบบตรงๆ

ในเคสนี้ยกตัวอย่างว่าเราเก็บเงินได้เพียงเดือนละ 10% เท่านั้น
จริงๆเมื่อเวลาผ่านไปเงินเดือนเราอาจจะเยอะขึ้นก็จริง 
แต่อย่าลืมว่า ค่าครองชีพของเรานั้นก็สูงขึ้นเช่นกัน
แปลว่าเราอาจจะต้องทนทำงานทั้งชีวิต
เพื่อให้สามารถรองรับรายจ่ายของเราเอง เมื่อตอนบั้นปลายชีวิต

การถือเงินสดไว้โดยที่เราไม่ทำอะไรเลย หรือแม้แต่ฝากธนาคารนั้น
แนวโน้มของมันมีแต่ลดลงในวันที่เราไม่ได้ทำงานแล้ว เพราะเรายังคงต้องกินต้องใช้อยู่

นอกจากนี้เรายังต้องภาวนาให้เงินต้นเราไม่หมดก่อนที่เราจะตายอีกด้วย
มันจะโหดร้ายสุดๆ... ถ้าหากเงินหมดแล้วเสือกดันไม่ตาย

ประเด็นคือ ต้องหาเก็บเท่าไหร่ถึงจะพอ ? 
ตอบได้ยากมากพอๆกับถามว่าคิดว่าเมื่อไหร่เราจะตาย ?

แต่โลกไม่ได้โหดร้ายเช่นนั้น เพราะโลกนี้ยังมีการลงทุน 
ซึ่งเป็นอีกศาสตร์ในการบริหารเงิน ที่ทำให้เงินนั้นงอกเงยขึ้นไปได้

ในการลงทุนในที่ๆดีนั้น ถ้าหากเรามีเงินต้นมากเพียงพอ
ที่จะทำให้ได้ดอกเบี้ยปันผล มากกว่าทุกๆเดือนที่เราใช้
เช่น มีเงิน 2 ล้านบาท ลงทุนให้ที่ๆให้ปันผล 5% ต่อปี
แปลว่าเราจะมีเงินปันผลถึง 100,000 บาท ต่อปี ไว้ให้เราใช้ฟรีๆ
โดยที่เงินต้น 2 ล้านบาทของเราไม่ลดแม้แต่นิดเดียว
ใครคิดว่าต้องใช้มากกว่านี้ เพียงแค่หาเงินต้นให้มากกว่าตัวอย่างที่ยกไป
ก็สามารถที่จะมีชีวิตยืนยาว ไม่ต้องกังวลว่าเราจะตายเมื่อไหร่
เพราะมันก็เหมือนมีเงินเข้ามาให้เราในทุกๆเดือนนั่นเอง

อย่าเพิ่งท้อ หากเงินลงทุนของเรายังน้อยอยู่
เราอาจจะมองว่า โห ปันผล 10 กว่าบาท 20 บาทเอง แล้วเมื่อไหร่จะได้เป็นแสน
ประเด็นที่จะบอกคือถ้าเรามีวินัยพอ ที่จะสะสมเงินของเราไปเรื่อยๆ
แม้ว่าจะเป็นเพียงเดือนละ 1,000 บาทก็ตาม
สุดท้ายแล้วด้วยระยะเวลาที่นานพอ 
ซักวันเราจะได้เห็นเงินปันผลเป็นหมื่น เป็นแสนแน่นอน

อย่าลืมนะครับ หัวใจหลักของการลงทุนมี 3 ประการ
1.เงินต้น (มีมากได้เปรียบ มีน้อยค่อยๆสะสมเดี๋ยวก็มากในอนาคต)
2.ผลตอบแทนที่ได้ (ควรหาให้ได้มากกว่าปีละ 5% กองทุนและหุ้นที่ดีให้ 10%+)
3.ระยะเวลา (ทำให้เกิดดอกเบี้ยทบต้นไปเรื่อย เลยอยากให้รีบลงทุนตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ)

สู้ๆและโชคดีครับทุกท่าน

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตอนที่ 2 : การลงทุน 101 (1)


การลงทุนนั้นเริ่มมาจากการออม

การออมนั้นเป็นพื้นฐานที่สุดในเรื่องของการลงทุน หลักการออมที่สบายที่สุดคือการเก็บเงิน 1 ส่วนจากเงิน 10 ส่วนของเราเอาไว้สำหรับการลงทุน

การแบ่งเงิน 1 ส่วนไปลงทุนนั้น แรกๆเราอาจจะมองว่าน้อยแต่ถ้าเวลาผ่านไป เงินต้นที่เราลงทุนไปนั้นก็จะเกิดการ "ทบต้น" จนเงินเหล่านั้นงอกเงยออกมามากมายมหาศาลอย่างทีเราคาดไม่ถึงได้

การลงทุนนั้นจะให้ผลตอบแทนเรามากน้อยนั้นขึ้นอยู่กับ 3 ตัวแปรหลักดังนี้

  1. เงินต้น
  2. ผลตอบแทนที่ได้ 
  3. ระยะเวลาที่นานพอ
เพื่อให้เห็นภาพเราจะมาดูรูปภาพเพื่อความเข้าใจดังนี้

ผมต้องการจะบอกว่า

  • ถ้าเราเก็บเงินเดือนละ 1,000 บาท แล้วเอาดอกเบี้ยที่ได้มาลงทุนต่อในทุกๆปี
  • ในอัตราดอกเบี้ย 2.25% เราจะมีเงิน 1 ล้านในปีที่ 48
  • ในอัตราดอกเบี้ย 5% เราจะมีเงิน 1 ล้านในปีที่ 34
  • ในอัตราดอกเบี้ย 10% เราจะมีเงิน 1 ล้านในปีที่ 24
  • ในอัตราดอกเบี้ย 20% เราจะมีเงิน 1 ล้านในปีที่ 16
  • ในอัตราดอกเบี้ย 30% เราจะมีเงิน 1 ล้านในปีที่ 13
ทั้งหมดนี้คือการเก็บออมและผลตอบแทนจากดอกเบี้ยทบต้นนั่นเอง ซึ่งปัจจัยสำคัญมากๆ เรื่องหนึ่งนั่นก็คือเรื่องของระยะเวลาที่นานมากพอ ดังนั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ลงทุนตั้งแต่วันนี้ เพื่อวันที่สบายในอนาคตของเรานั่นเอง

ตอนที่ 1 : ศาสตร์แห่งการลงทุน


การลงทุนนั้นคือส่วนหนึ่งของชีวิต

ปัจจัยหนึ่งในการดำเนินชีวิตนั่นก็คือเรื่องของเงิน หลายคนอาจจะมองว่าการลงทุนนั้นเป็นเรื่องที่ไกลตัวแต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย

ทุกวันนี้ผมยังคงสงสัยว่าทำไมหลักสูตรเกี่ยวกับการลงทุนนั้นยังไม่ถูกสอนอยู่ในหลักสูตรของการศึกษา

มีคนจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จในการงาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จเกี่ยวกับการเงิน

ไม่ใช่ว่าเพราะพวกเขาไม่เก่ง แต่พวกเขานั้นไม่ได้ถูกสอนมาให้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของเงิน

หลายคนถูกสั่งสอนมาว่า...

  • การที่มีเงินมากๆนั้นไม่ดี ชีวิตเครียด
  • คนที่มีเงินมากๆนั้นส่วนใหญ่เป็นคนโกง
  • จะรวยไปทำไมในเมื่อตายไปก็เอาไปไม่ได้
  • ใช้ชีวิตพอเพียงก็พอแล้ว
  • คิดแต่เรื่องเงินปวดหัวเปล่าๆ

ประเด็นนี้ผมขออธิบายให้ชัดเจนว่าการมีเงินมากๆนั้น
  • มีเงินเยอะกับเรื่องของความเครียดมันไม่เกี่ยวกัน
  • คนรวยที่เป็นคนดีก็มีเยอะ อย่างเช่นวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เขาบริจาคเงินแทบทั้งหมดของเขาแก่องค์กรการกุศล
  • ตายไปเอาเงินไปไม่ได้จริง แต่ถ้าคุณมีเงินคุณสามารถที่จะสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ได้
  • คนที่รวยก็สามารถใช้ชีวิตอย่างพอเพียงได้
  • ไม่มีกินนี่ปวดหัวยิ่งกว่า
เพราะ Mindset หรือสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาผิดๆ ทำให้คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตผิด หลายคนอาจจะคิดว่า โอเคเราทำงานมาทั้งชีวิตเพื่อสะสมเงินไว้ใช้ยามแก่

ประเด็นคือ!! ยามแก่ของเรานี่เท่าไหร่ถึงจะพอ 
  • บางคนบอกว่า 10 ปี หลังเกษียณ ฉันจะต้องมีเงินเก็บ 10 ล้านบาท !
  • บางคนบอกว่า 20 ปี หลังเกษียณ ฉันจะต้องมีเงินเก็บ 20 ล้านบาท !
  • บางคนบอกว่า 30 ปี หลังเกษียณ ฉันจะต้องมีเงินเก็บ 30 ล้านบาท !
คำตอบคือผิดหมด!!

เพราะเราไม่รู้หรอกว่าเราจะตายเมื่อไหร่ และค่าใช้จ่ายในอนาคตกับค่าใช้จ่ายตอนนี้

มันก็คนละราคากัน!!

ความคิดที่ว่าเก็บเท่าไหร่ถึงจะพอนั้น ในทางปฎิบัติไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย

เพราะถ้าวันใดก็ตามที่คุณเงินหมดในวันที่ไม่มีแรงจะทำอะไรแล้ว นั่นคือชีวิตที่ตายทั้งเป็น

แต่โลกของเราก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น

ในโลกเรายังคงมีศาสตร์หนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก 

และมันก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมเหตุสมผล

สิ่งนั้นนั้นเราเรียกว่า "ศาสตร์แห่งการลงทุน"



วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บ่ายวันหนึ่งกลางปี 2012...

ขณะที่ผมกำลังทำงานที่ออฟฟิศตามปกติ
"เฮ้ย...โอ๊ต เอาชื่อ นามสกุล วัน เดือน ปี และ เวลาเกิดมาให้พี่หน่อยซิ"
เสียงพีที่ออฟฟิศคนหนึ่งที่ทำงานด้วยกันพูดขึ้นมา
"ไรฟะพี่ ว่างเหรอ" ผมถามกลับ
"เออน่า เอามาเหอะน่า จะดูดวงให้" พี่เขาตอบ
"ดวง? ตลกละ ผมไม่เคยเชื่อเรื่องดวงว่ะพี่" ผมตอบกลับ

เอาจริงๆ ผมค่อนข้างอคติเพราะว่า มันมีหมอดูคนนึงดันไปเสือกทำนายให้แฟนเก่าต้องเลิกกับผม!!
เฮ้ย ตลกแล้ว ผมคิดในใจ ผมเคยถามแฟนเก่าคนนั้นก่อนที่จะกลายเป็นแฟนเก่านะ
"เธอเชื่อเรื่องดวงจริงเหรอ" (ผมตอนอายุ 18 ถามแฟนคนนั้น)
"ก็หมอดูเค้าบอกมาอย่างนี้น่ะ" (เธอตอบ)
"แล้วเธอเชื่อหมอดูเหรอ"(ผมถามต่อ)
"ไม่รู้สิ ก็ต้องระวังไว้แหละ" (เธอตอบกลับมา)
สุดท้ายเราเลิกกันในอีก 6 เดือนหลังจากนั้น...

ผมเกลียดหมอดูตั้งแต่ตอนนั้น
เออ...ถึงหมอดูจะแม่นจริง แต่ทำไมต้องทำให้ผมต้องผิดหวังด้วย...

ผมเกลียดเรื่องดวง
ผมเกลียดหมอดู
ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

ภาพอดีตฉายมาให้หัวผมจบไปแล้ว ทุกอย่างถูกปะติดปะต่อ ออกมาเป็นภาพในช่วงเวลาไม่ถึง 5 วินาที

ผมยืนคิดซักพัก
ผมเรียนสายวิทย์มา
ผมชอบฟิสิกส์
ผมไม่ชอบเรื่องงมงาย
ผมชอบการพิสูจน์
และครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่ผมจะได้พิสูจน์อะไรบางอย่าง....

"ได้พี่ เดี๋ยวผมไปหาเวลาเกิดมาให้" ผมตอบกลับไปอย่างมั่นใจ

ผมกลับบ้านไปค้นหาและได้มา

อีกวันหนึ่งผมไปทำงานบริษัทและเจอพี่คนนั้นอีกครั้ง

"เอ้าพี่ ผมเกิดวันที่.....เวลา....พี่อยากดูอะไรให้ผมพี่ก็ดูละกัน" ผมรู้สึกอยากลองของ
"จะเอาเรื่องอะไรล่ะ ระบุมาหน่อยสิ" พี่คนนั้นถาม
"เรื่องชีวิตละกันพี่ ผมจะไปทางไหนยังไงต่อ"
ผมกวนตีนกลับ เพราะคิดในใจ (ชีวิตกรู กรูเลือกเดินเองด้าย)
"โอเค" พี่เขาตอบกลับ

ผ่านไปอีก 1 วัน

พี่คนนั้นมาพร้อมกับคำทำนาย

"โอ๊ต พี่ดูดวงให้ละ ดวงมันบอกว่า โอ๊ตเหมาะกับการลงทุน เล่นหุ้นหรืออะไรก็ได้
รับรองว่าไม่เสีย มีแต่ได้ และที่สำคัญ จะเริ่มรวยตอนอายุ 30"

ป๊าดดดดดดดดด ผมคิดในใจ

"แถม ให้ เรื่องความรัก จะมีสาวหน้าตาดีมาเป็นแฟนนะ แต่ชอบเที่ยว เอ่อ อาจจะชอบสังสรรค์ตอนกลางคืนน่ะ สาวตามร้านเหล้าป่ะวะ 555 " พี่เขาหัวเราะอย่างสะใจ

ผมหัวเราะตาม เพราะเรื่องสาวๆ ถ้าเป็นสาวที่ชอบเที่ยวโดยเฉพาะร้านเหล้านี่จะเป็นสาวที่ผมไม่สนใจจะจีบเป็น อันดับแรกๆเลย (ไม่ใช่ว่าสาวร้านเหล้าไม่ดีนะ แต่เราไม่ชอบ)

เอาวะ!!

มา 2 เรื่องที่ไม่ใช่ผมทั้ง 2 เรื่อง

งานนี้ผมชนะเห็นๆ

ข้อ 2 ตัดได้อย่างสบายใจ เพราะมั่นใจอยู่แล้วว่าไม่ได้ชอบแนวนั้น

แต่ข้อ 1 นี่สิ...

หืมม เล่นหุ้น!? จะบ้าเหรอ!!