การลงทุนนั้นคือส่วนหนึ่งของชีวิต
ปัจจัยหนึ่งในการดำเนินชีวิตนั่นก็คือเรื่องของเงิน หลายคนอาจจะมองว่าการลงทุนนั้นเป็นเรื่องที่ไกลตัวแต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย
ทุกวันนี้ผมยังคงสงสัยว่าทำไมหลักสูตรเกี่ยวกับการลงทุนนั้นยังไม่ถูกสอนอยู่ในหลักสูตรของการศึกษา
มีคนจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จในการงาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จเกี่ยวกับการเงิน
ไม่ใช่ว่าเพราะพวกเขาไม่เก่ง แต่พวกเขานั้นไม่ได้ถูกสอนมาให้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของเงิน
หลายคนถูกสั่งสอนมาว่า...
- การที่มีเงินมากๆนั้นไม่ดี ชีวิตเครียด
- คนที่มีเงินมากๆนั้นส่วนใหญ่เป็นคนโกง
- จะรวยไปทำไมในเมื่อตายไปก็เอาไปไม่ได้
- ใช้ชีวิตพอเพียงก็พอแล้ว
- คิดแต่เรื่องเงินปวดหัวเปล่าๆ
ประเด็นนี้ผมขออธิบายให้ชัดเจนว่าการมีเงินมากๆนั้น
- มีเงินเยอะกับเรื่องของความเครียดมันไม่เกี่ยวกัน
- คนรวยที่เป็นคนดีก็มีเยอะ อย่างเช่นวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เขาบริจาคเงินแทบทั้งหมดของเขาแก่องค์กรการกุศล
- ตายไปเอาเงินไปไม่ได้จริง แต่ถ้าคุณมีเงินคุณสามารถที่จะสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ได้
- คนที่รวยก็สามารถใช้ชีวิตอย่างพอเพียงได้
- ไม่มีกินนี่ปวดหัวยิ่งกว่า
ประเด็นคือ!! ยามแก่ของเรานี่เท่าไหร่ถึงจะพอ
- บางคนบอกว่า 10 ปี หลังเกษียณ ฉันจะต้องมีเงินเก็บ 10 ล้านบาท !
- บางคนบอกว่า 20 ปี หลังเกษียณ ฉันจะต้องมีเงินเก็บ 20 ล้านบาท !
- บางคนบอกว่า 30 ปี หลังเกษียณ ฉันจะต้องมีเงินเก็บ 30 ล้านบาท !
เพราะเราไม่รู้หรอกว่าเราจะตายเมื่อไหร่ และค่าใช้จ่ายในอนาคตกับค่าใช้จ่ายตอนนี้
มันก็คนละราคากัน!!
ความคิดที่ว่าเก็บเท่าไหร่ถึงจะพอนั้น ในทางปฎิบัติไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย
เพราะถ้าวันใดก็ตามที่คุณเงินหมดในวันที่ไม่มีแรงจะทำอะไรแล้ว นั่นคือชีวิตที่ตายทั้งเป็น
แต่โลกของเราก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น
ในโลกเรายังคงมีศาสตร์หนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก
และมันก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมเหตุสมผล
สิ่งนั้นนั้นเราเรียกว่า "ศาสตร์แห่งการลงทุน"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น