วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตอนที่ 8 : กองทุน หรือ หุ้น ดี ?


เลือกยังไงดี ระหว่างกองทุน หรือ หุ้น

ตามที่ได้กล่าวในบทก่อนหน้านี้้ เมื่อเรามีเงินเก็บมากพอที่จะดูแลเราได้ใน 6 เดือน อยู่ในธนาคารแล้ว เราก็มาเริ่มลงทุนกันเลยดีกว่า โดยเงินที่เราจะเอามาลงทุนนั้นเรียกว่า "เงินเย็น" ซึ่งก็คือเงินที่เราไม่เอามาใช้ในชีวิตประจำวัน ให้คิดซะว่า ต่อให้เงินนี้มันสูญไป เราก็ไม่ได้เดือดร้อนนั่นเอง (ควรเป็น 10% ของเงินที่เราหาได้ในแต่ละเดือน)

สำหรับความแตกต่างระหว่างกองทุนหรือหุ้นนั้นมีค่อนข้างเยอะ

ผมจะเริ่มจากการอธิบายเกี่ยวกับกองทุนก่อน

กองทุน

กองทุนคือเงินที่เป็นกอง มารวมๆกันหลายๆคนเป็นกองทุน ในแต่ละกองทุนก็จะมีการจัดพอร์ตเพื่อนำเงินไปลงทุนให้เงินเติบโตเพื่อนำผลตอบแทนมาให้กับผู้ที่ถือหน่วยลงทุนในกองทุนนั้นๆ คนที่ลงทุนในกองทุนนั้นจะเหมือนระบบ Automatic  คือมีเงิน เดี๋ยวผู้จัดการกองทุนจัดให้ อาจจะเจ็บตัวก็ได้ขึ้นอยู่กับฝีมือในการบริหารกองทุนของผู้จัดการกองทุน

ข้อดีของการลงทุนในกองทุน

  • มีคนจัดการบริหารพอร์ตการลงทุนให้เรา พูดง่ายๆก็คือเอาตังไปซื้ออย่างเดียว เดี๋ยวผู้จัดการกองทุนเขาจะจัดการให้เราหมด
  • เราสามารถซื้อหุ้นบลูชิพ หรือหุ้นตัวใหญ่ได้ แม้ว่าเงินเราไม่ถึง เช่นการซื้อหุ้น มันมีกฎว่าต้องซื้ออย่างน้อย 100 หน่วยขึ้นไป ถ้าเราสนใจ PTT หรือ ปตท. เราต้องใช้เงินประมาณ 30,000 บาท ในการซื้อหุ้นตัวนี้  แต่สำหรับกองทุน เงินจำนวน 1,000-2,000 บาท เราก็สามารถที่จะมีส่วนร่วมในการลงทุนกับ PTT ได้แล้ว
  • ไม่ต้องเสียเวลามานั่งวิเคราะห์หุ้นรายตัว เพียงแค่เราศึกษานโยบายของกองทุนว่าลงทุนในหุ้นกลุ่มไหน เราก็ไปซือกองทุนนั้นๆ เราก็จะกลายเป็นเจ้าของหุ้นกลุ่มนั้น
  • มีการแบ่งพอร์ตการลงทุนชัดเจน เช่น ตราสารหนี้ พันธบัตร หุ้น ตาม % ต่างๆ แล้วแต่กองทุนนั้นๆ
  • กองทุนบางประเภทสามารถลดภาษีได้

ข้อเสียของการลงทุนในกองทุน

  • ไม่สามารถไปยุ่งกับการแบ่งพอร์ตของกองทุนได้
  • ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นกับบริษัทต่างๆ เพื่อไปตั้งคำถามสอบถามได้
  • ไม่สามารถขายหุ้นที่กองทุนถือได้
  • มีค่าธรรมเนียมในการซื้อขายและการดูแลจัดการกองทุน
  • กองทุนบางประเภท มีระยะเวลาในการซื้อขาย ซึ่งถ้าเราซื้อแล้วจะไม่สามารถขายได้อีกเลยประมาณ 5 ปี ตัวอย่างเช่น LTF เป็นต้น เพราะหากขายในช่วงระยะเวลาที่ยังไม่ถึงกำหนดจะทำให้สิทธิประโยชน์ในการหักภาษีจะถือเป็นโมฆะและต้องจ่ายภาษีย้อนหลัง
  • โอกาสน้อยมากที่จะทำกำไร 5 เด้ง 10 เด้ง เพราะว่าผู้จัดการกองทุนจะนำหุ้นที่กำไรขายทิ้งเพื่อมาปันผลให้กับผู้ถือหน่วยการลงทุนก่อน

หุ้น

หุ้นนั้นก็คือส่วนหนึ่งของกิจการที่เราสามารถเข้าไปซื้อได้เพื่อร่วมเป็นส่วนนึงของกิจการ คนที่ลงทุนในหุ้นนั้นจะเหมือนระบบ Manual คือซื้อเอง กำไรเอง เจ็บเอง

ข้อดีของการลงทุนในหุ้น

  • เราสามารถทำกำไรจากหุ้นได้เป็นหลายๆเท่าตัว เช่นหุ้น 5 เด้ง 10 เด้ง 100 เด้ง ซึ่งจะอธิบายเพิ่มเติมภายหลังอีกที
  • การซื้อหุ้นเหมือนซื้อกิจการ ถ้าเราชอบกิจการไหนเราก็สามารถซื้อกิจการนั้นได้เลย (ง่ายขนาดนั้นเชียว) ถูกต้องมันง่ายขนาดนั้นแหละ เพียงแค่มีเงินให้พอซื้อให้ได้ 100 หน่วยเท่านั้นก็พอ
  • มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อสอบถามปัญหาข้อสงสัยในกิจการนั้นๆ
  • ได้รับผลตอบแทนจาก ส่วนต่างของราคาและเงินปันผล ซึ่งส่วนต่างของราคานั้นจะไม่เสียภาษีอีกด้วย
  • สามารถซื้อขายได้ตามใจชอบ เพราะเราเป็นคนกำหนดพอร์ตการลงทุนเอง 

ข้อเสียของการลงทุนในหุ้น

  • ถ้าไม่มีความรู้ รับรองได้ว่าเจ๊งชัวร์ 
  • ต้องใช้จิตวิญญาณและจิตวิทยาในการลงทุนสูง เพราะตลาดหุ้นนั้นผันผวน ก่อให้เกิดความโลภและความกลัว ซึ่งในบางครั้งต้องมีการตัดขาดทุน ในบางครั้งต้องยอมถือโดยไม่ขาย ซึ่งในจุดนี้มันจะฝืนความรู้สึกอย่างมาก
  • ต้องมีเวลาอ่านงบการเงิน เพื่อติดตามดูแลกิจการที่เราเป็นเจ้าของอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งศึกษาคู่แข่งที่จะมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดกับกิจการที่เราถืออยู่
  • โอกาสเจ๊งหมดตัวจนเงินเหลือ 0 นั้นเกิดขึ้นได้

สุดท้ายแล้วทั้งหมดอยู่ที่ว่าเราถนัดการลงทุนแบบไหน ซึ่งถ้าหากลงทุนในกองทุนเราก็จะมีข้อได้เปรียบตรงที่ว่า ไม่ต้องไปใช้เวลากับมันมาก เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาศึกษา ส่วนหุ้นนั้นก็จะเหมาะกับคนที่มีเวลาศึกษากิจการนั้นๆ และเลือกซื้อด้วยมือของตัวเอง (และอาจจะเจ๊งเอง 555+) 

สำหรับผมแล้ว ผมแบ่งพอร์ตการลงทุนในกองทุนอยู่ที่ 30%
และ พอรตการลงทุนในหุ้นนั้นอยู่ที่ 70%
ดังนั้นในตอนถัดๆไปเราจะพูดถึงเรื่องหุ้นกันล้วนๆแล้วนะครับ :)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น