เราได้เงินมาจากไหน ?
จากหนังสืออันโด่งดังของคิโยซากิ "เงิน 4 ด้าน" http://goo.gl/6rtzM0 นั้นสรุปออกมาว่า
การหาเงินของเรานั้น ถูกแบ่งออกมาได้ 2 แบบ
แบบแรกคือ ใช้แรงทำงาน (Active Income) และ แบบที่สองคือ ใช้เงินทำงานเพื่อสร้างเงินอีกที (Passive Income) หลายคนสงสัยว่า ห๊ะ มีด้วยเหรอการหาเงินแบบให้เงินทำงาน เพราะตอนที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน มันก็มีคำถามมากมายโผล่ขึ้นมาในหัว ซึ่งเป็นด้านที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย
เราสามารถจำแนกวิธีการได้มาซึ่งเงินทั้ง 2 แบบ นั้นได้มาจากงานทั้งหมด 4 ประเภท
1.ลูกจ้าง/พนักงาน (Employee) ตัวย่อ E
2.ธุรกิจส่วนตัว (Self-Employed) ตัวย่อ S
3.เจ้าของกิจการ (Business Owner) ตัวย่อ B
4.นักลงทุน (Investor) ตัวย่อ I
ถ้าวิเคราะห์เกี่ยวกับงานด้านต่างๆ จะวิเคราะห์ได้ดังนี้
1.ลูกจ้าง/พนักงาน (Employee)
- ได้รับเงินจากการใช้แรงทำงาน (Active Income)
- ได้รับเงินเป็นรายเดือน
- เมื่ออยู่ในสถานะที่ไม่สามารถทำงานได้แล้ว ก็จะไม่ได้รับเงิน
- อิสรภาพถูกจำกัดด้วยการขายเวลาแลกเงิน
2.ธุรกิจส่วนตัว (Self-Employed)
- อิสระกว่าพนักงานประจำ
- ทำได้มากเท่าไหร่ ก็ได้รายได้มากเท่านั้น
- เมื่ออยู่ในสถานะที่ไม่สามารถทำงานได้แล้ว ก็จะไม่ได้รับเงิน
- อิสรภาพถูกจำกัดด้วยการขายเวลาแลกเงิน
3.เจ้าของกิจการ (Business Owner)
- ใช้เงินลงทุน เพื่อให้เงินไปสร้างรายได้มาให้เรา (Passive Income)
- ได้รับเงินจากผลกำไรของกิจการที่ทำ
- เมื่ออยู่ในสถานะที่ไม่สามารถทำงานได้แล้ว ก็จะยังคงมีเงินไหลเข้ามาอยู่ เพราะจ้างคนอื่นทำงาน
- ผลตอบแทนอาจสูงหรือต่ำ หรือขาดทุน ก็ได้ และต้องแบกรับกิจการ ไม่ว่าจะอยู่ในขาขึ้นหรือขาลงก็ตาม
4.นักลงทุน (Investor)
- ใช้เงินลงทุน เพื่อให้เงินไปสร้างรายได้มาให้เรา (Passive Income)
- ได้รับเงินจากปันผลของสินทรัพย์ที่เราลงทุน เช่น กองทุน หุ้น ตราสารหนี้ คอนโด
- เมื่ออยู่ในสถานะที่ไม่สามารถทำงานได้แล้ว ก็จะยังคงมีเงินไหลเข้ามาอยู่ เพราะเราใช้เงินไปสร้างเงินปันผลให้เรา
- อิสระในการเปลี่ยนการลงทุนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งมากกว่าเจ้าของกิจการ แต่ผลกำไร ขาดทุนที่ได้จะน้อยกว่าการเป็นเจ้าของกิจการ
เราไม่มีทางที่จะสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนได้จากการหาเงินแบบ Active Income (E กับ S) มันจะได้ค่าตอบแทนในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะว่าคนเรามีแรงและเวลาที่จำกัด นั่นเอง
ในการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน เราจำเป็นต้องสร้างรายได้แบบ Passive Income หรือการใช้เงินออกไปหาเงินให้เรานั่นเอง บางคนอาจจะเลือกเป็นเจ้าของกิจการ (รับผิดชอบในกิจการของตัวเอง) บางคนมีเงินที่น้อยกว่า อาจจะเลือกเป็นนักลงทุน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแนวที่ชอบ
หลายคนอาจจะคิดว่า โห เป็นนักลงทุนเลยเหรอ แบบนี้ต้องมีเงินเป็นแสน เป็นล้านสิ กว่าจะมาเป็นนักลงทุนได้ ซึ่งแต่ก่อนผมก็เคยคิดแบบนั้น แต่พอมาศึกษาเรื่องการลงทุน ก็ทำให้พบว่าการมีเงินเก็บเดือนละ 500-1,000 บาทนั้นก็สามารถที่จะเริ่มลงทุนเพื่อทำให้เงินเหล่านั้นเติบโตขึ้นมาได้มากๆในอนาคตแล้วล่ะ
สำหรับเงินจำนวน 500-1,000 น่าจะไม่ยากเกินไปสำหรับการเก็บออมเพื่อเริ่มลงทุนกันใช่ไหมครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น